Tuesday, June 23, 2009
จะไหวหรือ Self explainatory Tragedy
สถานที่ตั้ง วัดมาบสามเกลียว
เลขที่ 8 หมู่ 7
ตำบล ดอนหัวฬ่อ อำเภอ เมืองชลบุรี
จังหวัด ชลบุรี
เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ช่วยๆ กันนะจ๊ะ สงสารพระ
ไม่น่าเชื่อนะ วัดที่อยู่ท่ามกลางความเจริญในเขตอุตสาหกรรมชั้นนำกลับไม่มีใครให้ความสนใจเลย !
ความหดหู่ใจ คือ
1.ในวัดมีเจ้าอาวาสอยู่รูปเดียว เด็กวัดก็ไม่มี
2.มีสุนัข(ที่ใครเอาปล่อยก็ไม่รู้) 50 กว่าตัว
3.มีแมว(ที่ใครเอาปล่อยก็ไม่รู้) 20 กว่าตัว
4.ไก่+นก จำนวนหนึ่ง
พระ 1 รูป + ข้าว 1บาตร ไม่เพียงพอกับ Demand อย่างแน่นอน
There is a temple (Wat Mab Sam Gaeaw, 8 Moo 7, Muang, Chonburi) located just within the area of Industrial zone, not so far from Bangkok that is Chonburi Province which have only one Abbot (without any other monks beside) and he has to look after the temple + over 50 dogs + over 20 cat + chickens/birds-as someone has leaving them by intentiuon... it is a tragedy as only one monk who make a living by alms have to looking after so many livings, don't you think that it is gonna be lasting long.
Friday, June 12, 2009
มนุษย์เตรียมอพยพสู่ดาวอังคาร ปี ค.ศ.2020...
ทำบุญ ทำทาน เป็นกุศล เผื่อไว้บ้างดีไหม
ดร.อาจองเผยวิกฤติโลกร้อน มนุษย์เตรียมอพยพสู่ดาวอังคาร ปี ค.ศ.2020...
้ำช่วง ระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา มนุษย์รับรู้เรื่องการปรวนแปรของธรรมชาติจากภาวะโลกร้อน ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมหนัก แผ่นดินไหว เกิดพายุรุนแรงในภูมิภาคต่าง ๆ ปัญหากัดเซาะชายฝั่ง อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นจนทำให้คนล้มตาย ล่าสุดคำเตือนจากนักวิทยาศาสตร์ไทยภายใน 30 ปี น้ำจะท่วมภาคกลางของไทยเพราะระดับน้ำทะเลสูงขึ้นจากน้ำแข็งขั้วโลกละลาย
โอกาสที่ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา อดีตนักวิทยาศาสตร์นาซา และผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาวะโลกร้อน เดินทางมายังกรุงเทพมหานครเพราะปกติจะใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียนสัตยาไสย จ.ลพบุรี เพื่อมาบรรยายพิเศษเรื่องการผลิตบัณฑิตคุณภาพบนพื้นฐานคุณธรรม ณ มหาวิทยาเกษตรศาสตร์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้สละเวลาให้สัมภาษณ์ประเด็นของโลกร้อนและทางรอดของมนุษย์เกี่ยวกับ เรื่องนี้
ดร. อาจอง กล่าวว่า ตอนนี้ดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงไปเยอะทุกอย่างมาจากภาวะโลกร้อน จะเห็นปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ในประเทศไทยที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ที่ผ่านมาเวียดนามมีหิมะตกเป็นครั้งแรก ล่าสุดมีหิมะตกในเคนยาประเทศเหล่านี้อยู่ใกล้เส้นศูนย์จึงไม่ต้องตกใจหากใน เดือนมกราคมหิมะจะตกในเมืองไทย เดือนมกราคม อากาศจะเย็นที่สุด หิมะน่าจะตกในภาคเหนือ
ภาวะโลกร้อนทำให้น้ำแข็งขั้วโลกใต้ขั้วโลกเหนือละลายเร็วกว่าที่เราคิด จะเห็นว่าขณะนี้มีก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาใหญ่เท่ากับเมืองนิวยอร์กไหลลงสู่ ทะเล แล้วก็ไปละลายในทะเลทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น
“เฉพาะแค่ช่วงชีวิตผมเองระดับน้ำ ทะเลสูงขึ้น 16 เซนติเมตร ตอนนี้อายุผม 68 ปีแล้ว 16 เซนต์ถือว่าเยอะมากแค่ช่วงระยะสั้น ๆ ปกติจะใช้เวลาเป็น 4,000-5,000 ปีไม่ใช่แค่ 100 ปี ตอนนี้กำลังเร่งเพราะความร้อนมากขึ้นน้ำแข็งละลายมากขึ้น จะเร่งขึ้นไปเรื่อย ๆ”
เมื่อย้อนไปยังยุคน้ำแข็งตอนนั้นอากาศหนาวเกือบจะทั่วโลกมีหิมะตก น้ำเหล่านี้หมุนเวียนไปเป็นน้ำแข็ง มีน้ำสะสมอยู่บนภูเขา ตรงขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ ถ้าเราเปรียบเทียบ ตอนนั้นน้ำจากระดับน้ำทะเลระเหยขึ้นไปตกมากลายเป็นฝนและหิมะทำให้ระดับน้ำ ทะเลลดลง ตอนนั้นระดับน้ำทะเลอยู่ต่ำกว่าระดับปัจจุบัน 120 เมตร และถ้าน้ำแข็งละลายหมดระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 120 เมตรเพราะระดับน้ำทะเลไม่ได้หายไปไหนหมุนเวียนอยู่บนโลก
เมื่อเป็นอย่างนี้ก็หมายความว่าน้ำในทะเลสูงขึ้นจะค่อย ๆ กินฝั่งของเราไปเรื่อย ๆ อย่างเขตบางขุนเทียนที่กรุงเทพฯ เราสูญเสียแผ่นดินไปแล้ว 1 กิโลเมตร
นักวิชาการทางทะเลบอกว่าปรากฏ การณ์เหล่านี้คือปัญหากัดเซาะชายฝั่ง แต่ในมุมมองของอดีตนักวิทยาศาสตร์จากนาซาไม่เป็นเช่นนั้น
“ตอน นี้เสาไฟฟ้าอยู่ในทะเล หลายคนบอกว่าไม่ใช่น้ำทะเลสูงขึ้น แต่เป็นการเซาะฝั่ง ข้อบ่งชี้ว่าหากน้ำเซาะฝั่งเสาไฟฟ้าก็ล้มไปแล้วแสดงว่าระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และเป็นอย่างนี้ทั่วโลก อเมริกาออกมาพูดว่าเมืองไมอามีอีกหน่อยก็จะไม่มีเหลือ ไม่ได้จมหมายความว่าระดับน้ำทะเลสูงขึ้น”
ภาวะโลกร้อนแผ่อานุภาพไปทั่วโลก ดูเหมือน ว่าจะเป็นปัญหาที่ยากจะเยียวยา อาจตรงกับคำทำนายของนอสตราดามุส ว่าโลกจะแตก แต่ทางวิทยาศาสตร์บอกว่าไม่ได้หมายความว่าแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ จะพังเพราะน้ำท่วม แผ่นดินไหว อุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้มนุษย์อยู่อย่างลำบาก ประกอบกับจำนวนประชากรของโลกเพิ่มขึ้นไม่หยุดหย่อน จำนวนผู้บริโภคมากขึ้นทำให้โลกยิ่งร้อน ซึ่งมีคนคิดถึงทางออกของปัญหานี้ไว้แล้ว
ดร.อาจอง เล่าว่า องค์การนาซา มีโครงการจะไปเริ่มสร้างเมืองในอวกาศ โดยเลือกพื้นที่ดาวอังคารเพราะมีสภาพเหมือนกับโลก ขณะที่ดาวดวงอื่นเต็มไปด้วยอากาศพิษ ดาวพุธอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์เกินไป ดาวพฤหัสฯมีสภาพเป็นกรด ดาวอังคารแม้อากาศหนาวและมีสภาพไร้น้ำหนัก แต่มนุษย์อยู่ได้ด้วยการไปสร้างเมืองกระจกทำให้มีแรงโน้มถ่วงเหมือนกับอยู่ บนโลกได้ เพราะสภาพไร้น้ำหนักทำให้กระดูกเราอ่อนไม่แข็ง กล้ามเนื้อจะหายไป ใน เบื้องต้นจะส่งคนออกไปสร้างอุตสาหกรรมในอวกาศ ใช้วัตถุดิบจากดวงจันทร์ของดาวอังคาร ซึ่งมีอยู่ 2 ดวง จะมีสารทุกอย่างที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก ยิปซัม แร่ธาตุต่าง ๆ และการ ขนย้ายแร่ธาตุเหล่านี้จะเป็นไปโดยง่ายบนสภาพไร้น้ำหนัก
ขณะ เดียวกันเราเจอน้ำบนดวงจันทร์เยอะมาก จะสร้างฐานบนดวงจันทร์ เป็นจุดเติมพลังงาน เอาน้ำที่อยู่บนดวงจันทร์มาใช้พลังงานแสงอาทิตย์แยกออกซิเจน เป็นพลังงานไฮโดรเจน ใช้พลังงานนี้ไปขับเคลื่อนกับยานต่าง ๆ ทำให้การเดินทางบนอวกาศเป็นเรื่องธรรมดาโดยไม่ต้องใช้น้ำมัน
วางแผนว่ามนุษย์ครึ่งหนึ่งของโลกจะต้องอพยพไปอยู่บนดาวอังคาร อาจไปไม่หมดเพราะโลกวิกฤติ มนุษย์อยู่ลำบากแล้ว การออกแบบสร้างเมืองจะแบ่งเป็นเมืองขนาดเล็กอยู่สัก 2 แสนคน เป็นเมืองในอวกาศโดยสร้างระบบให้มีน้ำหนัก สามารถเดินไปมา ไม่ใช่ลอยไปมา ส่วนการเดินทางในอวกาศจะสร้างเรือใบรับรังสีพลาสม่าเพื่อให้พาหนะนี้เคลื่อน ไปในอวกาศได้
การดำรงชีวิตในอวกาศไม่ต้องใช้น้ำมันจะใช้แสงแดดแทนเพราะมีเหลือเฟือ โดยจะสร้างแผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่แค่ไหนก็ได้ รับรองไม่หล่นลงมาบนพื้นโลกเพราะในอากาศมีสภาพไร้น้ำหนัก สามารถรับแสงแดดได้ตลอดเวลาอีกทั้งไม่มีเมฆมาบดบัง
ดร.อาจองบอกว่าองค์การนาซาวางแผนไว้ปี ค.ศ. 2020 มนุษย์จะลงไปบนดาวอังคารเป็นครั้งแรกเพื่อจะเริ่มไปเยี่ยมไปศึกษาอยู่ที่ นั่นสักพักว่าจะอยู่กันได้สะดวกสบายแค่ไหน หลังจากนั้นจะเริ่มเอาคนไปอยู่สร้างตึกสร้างเมือง ตอนแรกจะมีเรือนกระจกแบบกลม ๆ เราเข้าไปอยู่ในนั้นปลูกผักปลูกข้าว
ต้นไม้บนดาวอังคารจะโตเร็วกว่าโลกของเรา ที่โตเร็วเพราะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เยอะต้นไม้ชอบก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ขณะเดียวกันเราไม่ต้องขนออกซิเจนไป ปลูกต้นไม้ก็คายออกซิเจนให้กับตัวเราได้
เมื่อผู้คนอพยพมามากขึ้นอุณหภูมิเริ่มสูงขึ้น ปกติบนดาวอังคารอุณหภูมิตอนนี้ติดลบ เมื่อมนุษย์อยู่มีเครื่องไม้เครื่องมือก็ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนขึ้นแต่ตรง นั้นไม่ต้องห่วงเพราะอุณหภูมิต่ำอยู่แล้ว อุณหภูมิติดลบ 30 องศาเซลเซียส มนุษย์เข้าไปอยู่ได้อีกเยอะ และยิ่งอยู่เยอะยิ่งดีทำให้อากาศร้อนขึ้น
ที่สุดแล้วเด็กในวันนี้จะเดินทางไปทำงานอวกาศแทนที่จะเดินทางไปตะวันออกกลาง เกาหลี ญี่ปุ่น การเดินทางไปดาวอังคารจะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาเหมือนกับการเดินทางขึ้น เครื่องบินไปต่างประเทศ
ระยะทางจากโลกไปดาวอังคารไม่แน่นอนบางครั้งอยู่ใกล้กัน บางครั้งไกลออกไป ตอนที่ผมไปช่วยเขาส่งยานอวกาศลงบนดาวอังคารใช้เวลา 11 เดือน แต่ระยะเวลาที่ใกล้สุดระหว่างดาวอังคารกับโลกคือ 3-4 เดือน ขึ้นอยู่กับจังหวะว่าโลกจะหมุนเข้าใกล้ดาวอังคารช่วงไหนของปี
“เราต้องมองการณ์ไกลเริ่มคิดได้แล้วว่าประเทศอื่นส่งคนขึ้นไปบนอวกาศแล้ว ของเรายังไม่มีคนไทยขึ้นไปสักคนไม่ใช่ว่าเราต้องสร้างเอง แต่เราไปร่วมมือกับเขาให้ส่งคนของเราขึ้นไปบ้างเพื่อที่เราจะได้มี ประสบการณ์ได้เรียนรู้ จีนเริ่มส่งขึ้นไปแล้ว มีทั้งญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย อินเดีย ตะวันออกกลาง คนไทยเรายังไม่มีโอกาสได้ขึ้นไป” ดร.อาจองกล่าวทิ้งท้าย
ความหวังที่มนุษย์จะไปอยู่บนโลกใบใหม่ใกล้ความจริงเข้ามาแล้ว.
ดร.อาจองเผยวิกฤติโลกร้อน มนุษย์เตรียมอพยพสู่ดาวอังคาร ปี ค.ศ.2020...
้ำช่วง ระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา มนุษย์รับรู้เรื่องการปรวนแปรของธรรมชาติจากภาวะโลกร้อน ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมหนัก แผ่นดินไหว เกิดพายุรุนแรงในภูมิภาคต่าง ๆ ปัญหากัดเซาะชายฝั่ง อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นจนทำให้คนล้มตาย ล่าสุดคำเตือนจากนักวิทยาศาสตร์ไทยภายใน 30 ปี น้ำจะท่วมภาคกลางของไทยเพราะระดับน้ำทะเลสูงขึ้นจากน้ำแข็งขั้วโลกละลาย
โอกาสที่ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา อดีตนักวิทยาศาสตร์นาซา และผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาวะโลกร้อน เดินทางมายังกรุงเทพมหานครเพราะปกติจะใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียนสัตยาไสย จ.ลพบุรี เพื่อมาบรรยายพิเศษเรื่องการผลิตบัณฑิตคุณภาพบนพื้นฐานคุณธรรม ณ มหาวิทยาเกษตรศาสตร์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้สละเวลาให้สัมภาษณ์ประเด็นของโลกร้อนและทางรอดของมนุษย์เกี่ยวกับ เรื่องนี้
ดร. อาจอง กล่าวว่า ตอนนี้ดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงไปเยอะทุกอย่างมาจากภาวะโลกร้อน จะเห็นปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ในประเทศไทยที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ที่ผ่านมาเวียดนามมีหิมะตกเป็นครั้งแรก ล่าสุดมีหิมะตกในเคนยาประเทศเหล่านี้อยู่ใกล้เส้นศูนย์จึงไม่ต้องตกใจหากใน เดือนมกราคมหิมะจะตกในเมืองไทย เดือนมกราคม อากาศจะเย็นที่สุด หิมะน่าจะตกในภาคเหนือ
ภาวะโลกร้อนทำให้น้ำแข็งขั้วโลกใต้ขั้วโลกเหนือละลายเร็วกว่าที่เราคิด จะเห็นว่าขณะนี้มีก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาใหญ่เท่ากับเมืองนิวยอร์กไหลลงสู่ ทะเล แล้วก็ไปละลายในทะเลทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น
“เฉพาะแค่ช่วงชีวิตผมเองระดับน้ำ ทะเลสูงขึ้น 16 เซนติเมตร ตอนนี้อายุผม 68 ปีแล้ว 16 เซนต์ถือว่าเยอะมากแค่ช่วงระยะสั้น ๆ ปกติจะใช้เวลาเป็น 4,000-5,000 ปีไม่ใช่แค่ 100 ปี ตอนนี้กำลังเร่งเพราะความร้อนมากขึ้นน้ำแข็งละลายมากขึ้น จะเร่งขึ้นไปเรื่อย ๆ”
เมื่อย้อนไปยังยุคน้ำแข็งตอนนั้นอากาศหนาวเกือบจะทั่วโลกมีหิมะตก น้ำเหล่านี้หมุนเวียนไปเป็นน้ำแข็ง มีน้ำสะสมอยู่บนภูเขา ตรงขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ ถ้าเราเปรียบเทียบ ตอนนั้นน้ำจากระดับน้ำทะเลระเหยขึ้นไปตกมากลายเป็นฝนและหิมะทำให้ระดับน้ำ ทะเลลดลง ตอนนั้นระดับน้ำทะเลอยู่ต่ำกว่าระดับปัจจุบัน 120 เมตร และถ้าน้ำแข็งละลายหมดระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 120 เมตรเพราะระดับน้ำทะเลไม่ได้หายไปไหนหมุนเวียนอยู่บนโลก
เมื่อเป็นอย่างนี้ก็หมายความว่าน้ำในทะเลสูงขึ้นจะค่อย ๆ กินฝั่งของเราไปเรื่อย ๆ อย่างเขตบางขุนเทียนที่กรุงเทพฯ เราสูญเสียแผ่นดินไปแล้ว 1 กิโลเมตร
นักวิชาการทางทะเลบอกว่าปรากฏ การณ์เหล่านี้คือปัญหากัดเซาะชายฝั่ง แต่ในมุมมองของอดีตนักวิทยาศาสตร์จากนาซาไม่เป็นเช่นนั้น
“ตอน นี้เสาไฟฟ้าอยู่ในทะเล หลายคนบอกว่าไม่ใช่น้ำทะเลสูงขึ้น แต่เป็นการเซาะฝั่ง ข้อบ่งชี้ว่าหากน้ำเซาะฝั่งเสาไฟฟ้าก็ล้มไปแล้วแสดงว่าระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และเป็นอย่างนี้ทั่วโลก อเมริกาออกมาพูดว่าเมืองไมอามีอีกหน่อยก็จะไม่มีเหลือ ไม่ได้จมหมายความว่าระดับน้ำทะเลสูงขึ้น”
ภาวะโลกร้อนแผ่อานุภาพไปทั่วโลก ดูเหมือน ว่าจะเป็นปัญหาที่ยากจะเยียวยา อาจตรงกับคำทำนายของนอสตราดามุส ว่าโลกจะแตก แต่ทางวิทยาศาสตร์บอกว่าไม่ได้หมายความว่าแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ จะพังเพราะน้ำท่วม แผ่นดินไหว อุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้มนุษย์อยู่อย่างลำบาก ประกอบกับจำนวนประชากรของโลกเพิ่มขึ้นไม่หยุดหย่อน จำนวนผู้บริโภคมากขึ้นทำให้โลกยิ่งร้อน ซึ่งมีคนคิดถึงทางออกของปัญหานี้ไว้แล้ว
ดร.อาจอง เล่าว่า องค์การนาซา มีโครงการจะไปเริ่มสร้างเมืองในอวกาศ โดยเลือกพื้นที่ดาวอังคารเพราะมีสภาพเหมือนกับโลก ขณะที่ดาวดวงอื่นเต็มไปด้วยอากาศพิษ ดาวพุธอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์เกินไป ดาวพฤหัสฯมีสภาพเป็นกรด ดาวอังคารแม้อากาศหนาวและมีสภาพไร้น้ำหนัก แต่มนุษย์อยู่ได้ด้วยการไปสร้างเมืองกระจกทำให้มีแรงโน้มถ่วงเหมือนกับอยู่ บนโลกได้ เพราะสภาพไร้น้ำหนักทำให้กระดูกเราอ่อนไม่แข็ง กล้ามเนื้อจะหายไป ใน เบื้องต้นจะส่งคนออกไปสร้างอุตสาหกรรมในอวกาศ ใช้วัตถุดิบจากดวงจันทร์ของดาวอังคาร ซึ่งมีอยู่ 2 ดวง จะมีสารทุกอย่างที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก ยิปซัม แร่ธาตุต่าง ๆ และการ ขนย้ายแร่ธาตุเหล่านี้จะเป็นไปโดยง่ายบนสภาพไร้น้ำหนัก
ขณะ เดียวกันเราเจอน้ำบนดวงจันทร์เยอะมาก จะสร้างฐานบนดวงจันทร์ เป็นจุดเติมพลังงาน เอาน้ำที่อยู่บนดวงจันทร์มาใช้พลังงานแสงอาทิตย์แยกออกซิเจน เป็นพลังงานไฮโดรเจน ใช้พลังงานนี้ไปขับเคลื่อนกับยานต่าง ๆ ทำให้การเดินทางบนอวกาศเป็นเรื่องธรรมดาโดยไม่ต้องใช้น้ำมัน
วางแผนว่ามนุษย์ครึ่งหนึ่งของโลกจะต้องอพยพไปอยู่บนดาวอังคาร อาจไปไม่หมดเพราะโลกวิกฤติ มนุษย์อยู่ลำบากแล้ว การออกแบบสร้างเมืองจะแบ่งเป็นเมืองขนาดเล็กอยู่สัก 2 แสนคน เป็นเมืองในอวกาศโดยสร้างระบบให้มีน้ำหนัก สามารถเดินไปมา ไม่ใช่ลอยไปมา ส่วนการเดินทางในอวกาศจะสร้างเรือใบรับรังสีพลาสม่าเพื่อให้พาหนะนี้เคลื่อน ไปในอวกาศได้
การดำรงชีวิตในอวกาศไม่ต้องใช้น้ำมันจะใช้แสงแดดแทนเพราะมีเหลือเฟือ โดยจะสร้างแผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่แค่ไหนก็ได้ รับรองไม่หล่นลงมาบนพื้นโลกเพราะในอากาศมีสภาพไร้น้ำหนัก สามารถรับแสงแดดได้ตลอดเวลาอีกทั้งไม่มีเมฆมาบดบัง
ดร.อาจองบอกว่าองค์การนาซาวางแผนไว้ปี ค.ศ. 2020 มนุษย์จะลงไปบนดาวอังคารเป็นครั้งแรกเพื่อจะเริ่มไปเยี่ยมไปศึกษาอยู่ที่ นั่นสักพักว่าจะอยู่กันได้สะดวกสบายแค่ไหน หลังจากนั้นจะเริ่มเอาคนไปอยู่สร้างตึกสร้างเมือง ตอนแรกจะมีเรือนกระจกแบบกลม ๆ เราเข้าไปอยู่ในนั้นปลูกผักปลูกข้าว
ต้นไม้บนดาวอังคารจะโตเร็วกว่าโลกของเรา ที่โตเร็วเพราะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เยอะต้นไม้ชอบก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ขณะเดียวกันเราไม่ต้องขนออกซิเจนไป ปลูกต้นไม้ก็คายออกซิเจนให้กับตัวเราได้
เมื่อผู้คนอพยพมามากขึ้นอุณหภูมิเริ่มสูงขึ้น ปกติบนดาวอังคารอุณหภูมิตอนนี้ติดลบ เมื่อมนุษย์อยู่มีเครื่องไม้เครื่องมือก็ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนขึ้นแต่ตรง นั้นไม่ต้องห่วงเพราะอุณหภูมิต่ำอยู่แล้ว อุณหภูมิติดลบ 30 องศาเซลเซียส มนุษย์เข้าไปอยู่ได้อีกเยอะ และยิ่งอยู่เยอะยิ่งดีทำให้อากาศร้อนขึ้น
ที่สุดแล้วเด็กในวันนี้จะเดินทางไปทำงานอวกาศแทนที่จะเดินทางไปตะวันออกกลาง เกาหลี ญี่ปุ่น การเดินทางไปดาวอังคารจะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาเหมือนกับการเดินทางขึ้น เครื่องบินไปต่างประเทศ
ระยะทางจากโลกไปดาวอังคารไม่แน่นอนบางครั้งอยู่ใกล้กัน บางครั้งไกลออกไป ตอนที่ผมไปช่วยเขาส่งยานอวกาศลงบนดาวอังคารใช้เวลา 11 เดือน แต่ระยะเวลาที่ใกล้สุดระหว่างดาวอังคารกับโลกคือ 3-4 เดือน ขึ้นอยู่กับจังหวะว่าโลกจะหมุนเข้าใกล้ดาวอังคารช่วงไหนของปี
“เราต้องมองการณ์ไกลเริ่มคิดได้แล้วว่าประเทศอื่นส่งคนขึ้นไปบนอวกาศแล้ว ของเรายังไม่มีคนไทยขึ้นไปสักคนไม่ใช่ว่าเราต้องสร้างเอง แต่เราไปร่วมมือกับเขาให้ส่งคนของเราขึ้นไปบ้างเพื่อที่เราจะได้มี ประสบการณ์ได้เรียนรู้ จีนเริ่มส่งขึ้นไปแล้ว มีทั้งญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย อินเดีย ตะวันออกกลาง คนไทยเรายังไม่มีโอกาสได้ขึ้นไป” ดร.อาจองกล่าวทิ้งท้าย
ความหวังที่มนุษย์จะไปอยู่บนโลกใบใหม่ใกล้ความจริงเข้ามาแล้ว.
Wednesday, June 10, 2009
บะหมี่น้ำหนึ่งชาม
บะหมี่น้ำหนึ่งชาม.........
บทความเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในประเทศญี่ปุ่น เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนที่มีจิตใจดีงามที่ได้เกิดขึ้น และขอบอกก่อนว่าเป็นบทความที่ยาวมาก ขอให้ค่อยๆ อ่านไปเรื่อยๆ
ที่ี่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อ 15 ปีที่แล้ว วันที่ 31 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
การกินบะหมี่โซบะในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้นเป็นประเพณีของชาวญี่ปุ่นด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ร้านบะหมี่ขายดีในวันสิ้นปี
ที่ร้านบะหมี่ "ฮอกไก" บนถนนซัปโปโร ก็เช่นกัน ในวันนั้นคนแน่นร้านแทบทั้งวัน
จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น. คนก็เริ่มน้อยลง โดยปกติแล้วบนถนนสายนี้คนจะแน่นขนัดไปจนถึงเช้าตรู่ แต่วันนี้คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะรีบกลับบ้านเพื่อไปต้อนรับปีใหม่กันที่บ้าน ดังนั้นถนนสายนี้จึงปิดร้านเร็วกว่าปกติ
เถ้าแก่ของร้าน "ฮอกไก" เป็นคนซื่อ และเถ้าแก่เนี้ยก็เป็นคนอัธยาศัยใจคอดี
ในคืนนั้นพอลูกค้าคนสุดท้ายกลับไป เถ้าแก่เนี้ยจะปิดร้าน แต่ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างเบาๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชายสองคน คนหนึ่งประมาณ 6 ขวบกับอีกคนหนึ่งประมาณ 10 ขวบ เข้ามาในร้าน เด็กชายทั้งสองคนสวมชุดกีฬาใหม่เอี่ยมเหมือนกันทั้งสองคน ส่วนหญิงคนนั้นสวมโอเวอร์โค้ทลายสก๊อตเก่าๆ
"เชิญนั่งครับ" เถ้าแก่ร้องทักทายออกมา
หญิงคนนั้นเอ่ยปากอย่างขลาดกลัวว่า "สั่งบะหมี่น้ำชามเดียวได้ไหมค๊ะ"
เด็กชายสองคนที่อยู่ข้างหลังสบตากันอย่างไม่ค่อยสบายใจนักที่สามคนกินบะหมี่ชามเดียว
"ได้ค่ะ ได้ค่ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะ" เถ้าแก่เนี้ยพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะเบอร์สองชิดกำแพง แล้วตะโกนบอกไปทางห้องครัวว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"
ปกติบะหมี่หนึ่งชามจะมีบะหมี่แค่หนึ่งก้อน เถ้าแก่คิดแล้วก็ใส่บะหมี่เพิ่มไปอีกครึ่งก้อน ต้มบะหมี่ได้ชามเบ้อเริ่ม
ทั้งเถ้าแก่เนี้ยและสามแม่ลูกต่างก็ไม่รู้เรื่อง สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย กินพลางพูดพลาง
"ทานเถอะครับ" ลูกคนพี่พูด
"แม่ทานหน่อยสิครับ" ลูกคนน้องพูดไปก็คีบบะหมี่ให้แม่กิน ไม่นานก็กินบะหมี่หมดชาม จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน
แล้วทั้งสามคนก็ชมว่า "ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) บะหมี่อร่อยมากค่ะ(ครับ)" พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อยแล้วลาจากไป
"ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)" ทั้งเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยต่างก็กล่าวขอบคุณ
และแล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี วันที่ 31 ธันวาคมก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง
ร้านบะหมี่ "ฮอกไก" ก็ยังคงขายดีและดูเหมือนจะขายดีกว่าปีที่ผ่านมา สองตายายยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้าขาย จนลูกค้าพากันกลับไปแล้ววันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง
สี่ทุ่มกว่า ขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้านอยู่นั้น ประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ ผู้ที่เข้ามาคือหญิงวัยกลางคนกับเด็กชายสองคน พอเห็นเสื้อโอเวอร์โค้ทเก่า
เถ้าแก่เนี้ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นลูกค้าคนสุดท้ายในวันส่งท้ายปีเก่าของปีที่แล้วนั่นเอง
"สั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามได้มั๊ยค่ะ"
"ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะค๊ะ" เถ้าแก่เนี้ยนำพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว โต๊ะเบอร์สอง ตะโกนไปพลางว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม" เถ้าแก่รับคำพลางจุดเตาที่เพิ่งจะดับไป "ได้ครับ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม" เถ้าแก่เนี้ยแอบไปพูดที่ข้างหูของเถ้าแก่ว่า
"นี่ตาแก่ ต้มบะหมี่ให้พวกเขาสามชามไม่ได้หรือ" "ไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้พวกเขาอายและไม่สบายใจได้รู้มั๊ย" สามีตอบพลางโยนบะหมี่อีกครึ่งก้อนลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่าน เสร็จแล้วตักบะหมี่ชามใหญ่ที่กลิ่นหอมชวนกินชามนั้นให้ภรรยายกไปให้สามแม่ ลูก
สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่ กินไปพลางคุยไปพลาง เสียงคุยของสามแม่ลูกดังถึงหูของตายาย
"หอมจังเลย…ยอดไปเลย…อร่อยจริง ๆ "
"ปีนี้ยังสามารถกินบะหมี่ของร้านฮอกไกได้ นับว่าไม่เลวทีเดียว"
"ถ้าปีหน้าสามารถมากินได้อีกก็ดีนะสิ"
กินเสร็จก็จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน แล้วสามแม่ลูกก็เดินออกจากร้านฮอกไกไป
"ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)" มองตามหลังสามแม่ลูกจนลับหายไป
ในวันสิ้นปีของสามปีมานี้ กิจการของร้านฮอกไกดีมาก สองตายายต่างก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกัน
แต่พอเลยสามทุ่มไปแล้ว สองตายายก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา พอถึงสี่ทุ่มพนักงานในร้านต่างก็รับอั้งเปาแล้วก็แยกย้ายกันกลับไป เมื่อคนกลับไปหมดแล้วเจ้าของร้านทั้งสองก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ในร้าน ที่เขียนไว้ว่า "บะหมี่ชามละสองร้อยเยน" ที่แขวนไว้ตามผนังทั้งหมดพลิกกลับหลัง แล้วช่วยกันเขียนใหม่ว่า "บะหมี่ชามละร้อยห้าสิบเยน" และเถ้าแก่เนี้ยก็เอาป้าย "จองแล้ว" ไปวางไว้บนโต๊ะเบอร์สอง เหมือนกับว่าจะมีเจตนารอแขกที่ลูกค้าออกจากร้านไปหมดแล้วถึงจะมาอย่างนั้น แหละ ในที่สุดสี่ทุ่มครึ่งสามแม่ลูกก็ปรากฎตัวขึ้น พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่งหนึ่ง น้องชายสวมเสื้อแจ๊คเก็ทที่พี่ชายสวมเมื่อปีก่อนดูหลวมและไม่พอดีตัว เด็กทั้งสองคนโตขึ้นมาก ส่วนผู้เป็นแม่ก็ยังคงสวมเสื้อโค้ทลายสก๊อตที่ทั้งเก่าและเชยแถมสีซีดตัว เดิม
"เชิญค่ะ เชิญค่ะ" เถ้าแก่เนี้ยกล่าวทักทายอย่างมีน้ำใจ
มองใบหน้าอันยิ้มแย้มและท่าทางต้อนรับอย่างเต็มที่ของเถ้าแก่เนี้ย ทำให้ผู้เป็นแม่นั้นเปล่งคำพูดออกมาอย่างงกงกเงิ่นเงิ่นว่า "รบกวนช่วยทำบะหมี่น้ำให้สักสองชามได้ไหมค่ะ"
"ได้ค่ะ เชิญนั่งทางนี้ค่ะ" เถ้าแก่เนี้ยนำแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะเบอร์สอง แล้วรีบเอาป้าย"จองแล้ว"ออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วตะโกนบอกไปทางครัวว่า "บะหมี่น้ำสองชาม" "ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชามได้เดี๋ยวนี้แหละครับ" เถ้าแก่ตอบพลางโยนบะหมี่ลงไปในหม้อน้ำสามก้อน
สามแม่ลูกกินไปพูดไป ดูแล้วเหมือนมีความสุขกันมาก สองสามีภรรยาที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่ได้รับรู้ถึงความสุขที่พวกเขาได้รับ กันในใจก็พลอยเบิกบานไปด้วย
"ลูกรัก วันนี้แม่ต้องขอบคุณลูก ๆ เป็นอย่างมาก"
"ขอบคุณ ทำไมครับ"
"เรื่องเป็นอย่างนี้ คือคุณพ่อของลูกที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งยังทำให้คนอีกแปดคนได้รับบาดเจ็บ และทางบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบในส่วนนั้น ในช่วงหลายปีมานี่ทำให้เราต้องจ่ายเงินเดือนละห้าหมื่นเยนชดใช้ให้เขาทุกเดือน"
"เรื่องนี้เราก็ทราบกันอยู่แล้วนี่ครับ" ผู้เป็นพี่ตอบ
(เถ้าแก่เนี้ยตั้งใจฟังอย่างเงียบ ๆ อยู่หลังโต๊ะทำอาหาร)
"แต่เดิมนั้นเราต้องชำระหนี้ไปจนถึงปีหน้าเดือนมีนาคม แต่ตอนนี้เราได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว"
"จริง ๆ หรือครับ แม่"
"จริงสิจ๊ะ นี่เป็นเพราะว่าพี่ชายของลูกขยันไปส่งหนังสือพิมพ์ ส่วนตัวลูกเองก็ช่วยแม่ซื้อกับข้าวทำอาหาร ทำให้แม่ไปทำงานได้อย่างเต็มที่ ทางบริษัทจึงได้ให้เงินเบี้ยขยันพร้อมทั้งเงินโบนัสพิเศษอื่น ๆ อีก จึงทำให้วันนี้สามารถชำระในส่วนที่เหลือได้หมด"
"ว้าว แม่ครับ พี่ครับ อย่างนี้ก็วิเศษสิครับ แต่ว่าต่อไปขอให้ผมได้ช่วยทำอาหารต่อไปเถอะนะครับ"
"ผมก็จะส่งหนังสือพิมพ์ต่อนะครับ"
"ขอบใจลูกทั้งสองมาก ขอบใจจริง ๆ "
"แม่ครับผมกับน้องก็มีความลับจะบอกกับแม่เหมือนกันครับ คือในวันอาทิตย์วันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายนโรงเรียนของน้องแจ้งให้ผู้ปกครอง ไปเยี่ยมชมนักเรียนในห้องเรียนในวันพบผู้ปกครอง คุณครูของน้องยังได้แนบจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับว่า เรียงความของน้องถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของฮอกไกโด เพื่อไปแข่งขันเรียงความทั่วประเทศ นี่ผมได้ยินมาจากเพื่อน ๆ ของน้องนะครับผมถึงทราบ ดังนั้น ในวันนั้นผมจึงไปเป็นตัวแทนแม่ร่วมในงานวันพบผู้ปกครอง"
"จริงหรือลูก แล้วเป็นไงบ้างล่ะ"
"หัวข้อที่คุณครูให้เรียงความคือ "ความปรารถนาของข้าพเจ้า" น้องได้เอาเรื่องของบะหมี่น้ำหนึ่งชามมาเขียนเป็นเรียงความ แล้วยังได้อ่านต่อหน้าทุกคนด้วย"
"เรียงความเขียนว่า…
หลังจากที่คุณพ่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้ว ได้ทิ้งหนี้สินให้เรามากมาย เพื่อที่จะชำระหนี้ คุณแม่ต้องทำงานดึกดื่นหามรุ่งหามค่ำทุกวัน
แม้แต่เรื่องของผมที่ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์ น้องก็ยังเอาไปเขียนเลย…"
"ยังมีอีก น้องยังเขียนถึงคืนวันที่ 31 ธันวาคม พวกเราสามคนแม่ลูกได้มาล้อมวงกินบะหมี่น้ำ อร่อยมาก…สามคนกินบะหมี่น้ำแค่ชามเดียว คุณตาคุณยายเจ้าของร้านยังกล่าวขอบคุณพวกเราอีก แล้วยังอวยพรปีใหม่ให้พวกเราอีก เสียงอวยพรนั้นเหมือนกับว่าให้กำลังใจให้เข้มแข็งที่จะยืนหยัดมีชีวิตอยู่ ต่อไป พยายามปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหลายของคุณพ่อให้หมดโดยเร็วที่สุด…"
"ด้วยเหตุนี้น้องจึงได้ตัดสินใจว่าโตขึ้นจะเปิดกิจการร้านบะหมี่ แล้วจะต้องให้กำลังใจแก่ลูกค้าทุกคน…ขอให้มีความสุขครับ…ขอบคุณครับ…"
สองตายายเจ้าของร้านบะหมี่ที่ยืนฟังอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่จู่ ๆ ก็หายตัวไป พวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลยเพียงแต่คุกเข่ากันอยู่ใต้โต๊ะ ในมือถือปลายผ้าขนหนูกันคนละข้าง ซับน้ำตาที่ไหลไม่หยุด
"พอน้องอ่านเรียงความจบ คุณครูก็พูดว่า วันนี้พี่ชายได้มาเป็นตัวแทนของคุณแม่ ดังนั้นขอเชิญพี่ชายขึ้นมากล่าวอะไรสักหน่อยค่ะ "
"จริงหรือลูก แล้วลูกทำอย่างไรล่ะ"
"ก็มันกระทันหันเกินไป ตอนแรก ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ผมจึงพูดว่า…ขอบคุณทุกคนที่เอาใจใส่น้องผมเป็นอย่างดี น้องผมต้องไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวกลับมาหุงหาอาหารทุกวัน ดังนั้นในเวลาที่เพื่อน ๆ ทุกคนมีกิจกรรมกันในตอนเย็นก็มักจะอยู่ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ได้เพราะต้องรีบกลับบ้าน เมื่อเป็นอย่างนี้จึงไม่ได้ช่วยเพื่อนทำกิจกรรม เมื่อครู่นี้ตอนที่ได้ยินน้องอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชาม ผมรู้สึกอายมาก แต่พอเห็นว่าน้องยืดอกอ่านเรียงความด้วยเสียงอันดังนั้นจนจบ ถึงได้รู้สึกว่าการที่รู้สึกอายเมื่อสักครู่นี้แหละเป็นสิ่งที่ควรอายน้อง" "หลายปีมานี้ ความกล้าของคุณแม่ที่สั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามเพื่อกินกันสามคนนั้น ผมกับน้องจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด ผมและน้องจะต้องขยันและดูแลแม่เป็นอย่างดี และผมขอฝากน้องของผมให้ทุกคนช่วยดูแลด้วยครับ"
สามแม่ลูกกุมมือกันเงียบ ๆ ตบไหล่ กินบะหมี่หมดอย่างมีความสุขกว่าทุก ๆ ปี จ่ายเงินไปสามร้อยเยนกล่าวขอบคุณค้อมตัวลงเคารพและเดินออกจากร้านไป
มองตามหลังสามแม่ลูกไป เจ้าของร้านจึงได้รู้สึกว่าปีนี้ได้ผ่านไปแล้วจริง ๆ พร้อมกับกล่าวว่า "ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"
พอถึงเวลาสามทุ่มของปีต่อ ๆ มา ทางร้านฮอกไกก็วางป้าย "โต๊ะจอง" ไว้บนโต๊ะเบอร์สอง และเฝ้ารอคอยการมาเยือนของสามแม่ลูกเช่นเคย แต่สามคนแม่ลูกไม่ได้มาปรากฏตัวที่ร้านอีกเลย
กิจการของร้านฮอกไกดีมาก เรียกว่าดีวันดีคืนเลยทีเดียว ภายในร้านมีการตกแต่งใหม่ โต๊ะเก้าอี้ก็มีการเปลี่ยนใหม่ จะมีก็แต่โต๊ะเบอร์สองที่เก็บรักษาไว้เหมือนเดิม
"นี่มันเรื่องอะไรกัน" ลูกค้าหลายคนต่างก็ถามด้วยความกังขา เถ้าแก่เนี้ยก็เลยเล่าเรื่องบะหมี่หนึ่งชามให้แก่ลูกค้าฟัง โต๊ะเก่าตัวนั้นวางอยู่กลางร้านเป็นการให้กำลังใจตัวเองอย่างหนึ่ง และก็ไม่แน่ว่าวันหนึ่งลูกค้าทั้งสามอาจกลับมาอีก พวกเขาหวังว่าจะใช้โต๊ะเก่าตัวนั้นในการต้อนรับลูกค้าทั้งสาม
โต๊ะเบอร์สองตัวนั้นเปลี่ยนเป็นชื่อว่า "โต๊ะแห่งความสุข" ลูกค้าต่างก็พูดต่อ ๆ กันไป มีนักเรียนหลายคนอยากเห็นโต๊ะตัวนี้ถึงขนาดนั่งรถมาจากที่ไกลแสนไกลมากิน บะหมี่ และเจาะจงที่จะนั่งโต๊ะตัวนี้
ผ่านวันที่ 31 ธันวาคม ไปอีกหลายปี
เจ้าของร้านค้าในระแวกใกล้เคียงร้านฮอกไก พอถึงวันสิ้นปีหลังจากปิดร้านแล้ว ก็มักจะมารวมตัวฉลองโดยการกินบะหมี่ที่ร้านฮอกไกเพื่อเฝ้ารอสามแม่ลูก จนเสียงระฆังส่งท้ายวันสิ้นปีเก่าดัง ทุกคนก็ไปวัดเพื่อไหว้พระด้วยกัน เป็นธรรมเนียมมา 5-6 ปีแล้ว
ในวันนี้พอเลย 21.30 น.ไปแล้ว เจ้าของร้านขายปลามาถึงก่อนพร้อมทั้งนำซาซิมิมาด้วย ต่อจากนั้นก็มีคนมาเรื่อย ๆ บ้างก็เอาเหล้ามา บ้างก็เอาอาหารกับแกล้มมา ปกติแล้วก็จะรวมตัวกันได้ประมาณ 30-40 คน คึกคักกันมาก ทุกคนรู้ตำนานเกี่ยวกับโต๊ะเบอร์สอง ต่างก็คิดกันว่า วันนี้"โต๊ะจอง" ตัวนั้นคงจะว่างเปล่าเพื่อส่งท้ายปีเก่าอีกเช่นเดิม
พวกเขาบ้างก็กินเหล้า บ้างก็กินบะหมี่ บ้างก็เข้า ๆ ออก ๆ กินกันไปคุยกันไป จนเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน
เวลาผ่านไปจนถึง 22.30 น. ทันใดนั้นประตูร้านก็ถูกผลักเบา ๆ ทุกคนในร้านหยุดพูดคุย มองตรงไปยังประตู ชายหนุ่มสองคนยืนสง่าในชุดสูทสากล พาดโอเวอร์โค้ทไว้บนแขน พอเห็นว่าผู้ที่มาไม่ใช่สามแม่ลูกทุกคนก็รู้สึกว่าบรรยากาศผ่อนคลายลง และเริ่มสนทนากันต่อไปอย่างคึกคัก ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะพูดว่า "ขอโทษค่ะ ที่นั่งเต็มหมดแล้วค่ะ" อยู่นั้น ก็มีหญิงคนหนึ่งสวมชุดกิโมโนเดินเข้ามายืนระหว่างกลางของชายหนุ่มทั้งสอง ทุกคนในร้านแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินคุณนายผู้นั้นพูดว่า
"เอ้อ…รบกวนช่วยทำบะหมี่ให้สามชามได้ไหมคะ"
ทันทีที่เถ้าแก่เนี้ยได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว ภาพของสามแม่ลูกในความทรงจำ กับภาพของสามแม่ลูกตรงหน้า เธอพยายามจะนำทั้งสองภาพมาวางซ้อนกัน เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ที่โต๊ะทำบะหมี่ ชี้นิ้วไปยังทั้งสามแม่ลูก
"พวกคุณ .. พวกคุณ" เขาพูดได้เพียงแค่นั้น คำพูดทุกคำจุกอยู่ที่คอ
ชายหนุ่มหนึ่งในสองคนเห็นท่าทีของเถ้าแก่เนี้ยที่ทำอะไรไม่ถูกก็เลยพูดกับ เถ้าแก่เนี้ยว่า "พวกเราสามคนแม่ลูก ที่เมื่อสิบสี่ปีก่อนในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ มาสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามทานกันสามคนไงครับ"
"หลังจากนั้นก็อพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่กับยายที่อำเภอชิกะ ปีนี้ผมสอบผ่านได้เป็นนายแพทย์แล้ว ตอนนี้ผมเป็นแพทย์ฝึกหัดแผนกกุมารเวชที่โรงพยาบาลเกียวโต ปีหน้าเดือนเมษายนก็จะย้ายมาประจำโรงพยาบาลกลางของซัปโปโรครับ"
"วันนี้พวกเราก็เลยแวะมาที่โรงพยาบาลเพื่อทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว แล้วเลยไปไหว้สุสานของคุณพ่อ
และน้องชายที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันว่าจะเป็นเจ้าของกิจการร้านบะหมี่นั้น ตอนนี้ได้ทำงานในธนาคารเกียวโต เป็นผู้เสนอความคิดว่าในวันส่งท้ายปีเก่านี้ พวกเราสามคนแม่ลูกควรมาเยี่ยมคารวะเจ้าของร้านบะหมี่ฮอกไกที่ซัปโปโร และทานบะหมี่น้ำสามชามของร้านฮอกไกด้วย"
สองตายายฟังไปพลาง พยักหน้าไปพลางด้วยน้ำตาคลอเบ้า เถ้าแก่ร้านขายผักที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตู พยายามใช้แรงอย่างเต็มที่ที่จะกลืนบะหมี่คำที่คาอยู่ในปากลงไปในคอ แล้วลุกขึ้นยืนพูดว่า "อ้าว…เถ้าแก่… เป็นอะไรไปหล่ะ อุตสาห์เตรียมการมาตลอดสิบปีเพื่อเฝ้าคอยวันนี้ "โต๊ะจอง" ตัวนั้นไงที่พวกเถ้าแก่จองให้ลูกค้าที่จะมาตอนหลังสี่ทุ่มของคืนวันสิ้นปีไง รีบ ๆ ต้อนรับพวกเขาสิ เร็วเข้า"
ในที่สุดเถ้าแก่เนี้ยก็ได้สติ พูดว่า "ยินดีต้อนรับค่ะ…เชิญนั่งข้างในค่ะ…นี่ตาเฒ่า…บะหมี่น้ำสามชามโต๊ะสอง" เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ก็รีบปาดน้ำตาแล้วรับคำว่า "ครับ..บะหมี่น้ำสามชาม"
หากดูกันตามจริงแล้ว สิ่งที่เถ้าแก่ร้านบะหมี่ทั้งสองได้ให้ไปมันไม่ได้มีค่ามากมายอะไรเลย เป็นแค่เพียงบะหมี่ไม่กี่ก้อน คำอวยพรคำพูดให้กำลังใจที่ปราถนาดีอย่างจริงใจเพียงไม่กี่คำ "ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)" เท่านั้นเอง แต่กลับทำให้ผู้ที่ถูกความจริงอันโหดร้ายบีบให้อยู่ในสถานการณ์คับขับ สามารถกลับมามีชีวิตที่รุ่งเรืองอีกครั้ง
------------------------------------------------------------------------------------------
ของขวัญวันแม่ที่แม่ต้องชอบเพราะเป็นกล่องเพลงแบบ Vintage บรรจุเพลงสุนทราภรณ์ถึงกว่า 2000 เพลง...อ่านต่อ!!!
Subscribe to:
Posts (Atom)