อัมเบดการ์ : ผู้แสวงหาเสรีภาพ ความเสมอภาค และภราดรภาพในอินเดีย |
ดร. บาบาสาเฮบ อัมเบดการ์ ผู้ใช้การเรียนผลักดันตัวเองขึ้นมาจากการเป็น "จันฑาล" นำผู้คนต่อสู้กับระบบวรรณะในอินเดียด้วยการพากันเข้านับถือศาสนาพุทธ ดร.อัมเบดการ์ คนที่นำคนอินเดีย ปฏิญาณคนเป็นพุทธศาสนิกชน จัณฑาล ที่ดิ้นรน จนครูคนหนึ่งยินยอมให้ใช้นามสกุล พราหมณ์ของเขา " อัมเบดการ์" ดิ้นรนเรียนจนได้ทุนเรียนปริญญาเอกทางกฏหมายจากอเมริกา เป็นคนที่ผลักดัน วรรณ จัณฑาล ( หริชน...) ให้มีความเท่าเทียมกันทางกฏหมายอินเดียใหม่ แต่เมื่อในสภาพสังคมยังไม่ได้รับการยอมรับ เขาเลยกลายมาเป็นผู้นำในการประกาศการตนเป็น พุทธศาสนิกชน นับเป็นจุดฟื้นฟูพุทธศาสนาที่สำคัญในอินเดีย ที่เมือง นาคปุระ ข้าพเจ้ารับเอาคำสอนของครูของข้าพเจ้าคือพระพุทธเจ้า ( โคตมโคดม พุทธเจ้า) ที่สอนให้คนเรามีสิทธิ เสรีภาพ เท่าเทียมกัน... ฟังเขาว่ามา..สุรัตน์ โหราชัยกุลคณะรัฐศาสตร์ และศูนย์อินเดียศึกษา จุฬาฯ ในคอลัมน์พินิจอินเดียครั้งนี้ ผู้เขียนขอเลือกเขียนเกี่ยวกับ ดร. ภิมราว รามยี อัมเบดการ์ เพราะเชื่อว่าสังคมไทยยังเข้าใจอัมเบดการ์ได้ไม่ครอบคลุม มีหลายกรณีด้วยที่ผู้เขียนพบว่า ชาวไทยจำนวนไม่น้อยยังเข้าใจไม่ถูกต้อง เช่น ความเชื่อที่ว่ารัฐธรรมนูญอินเดียทั้งหมดเป็นผลผลิตของอัมเบดการ์แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งแท้จริงแล้ว สารัตถะทั้งหมดที่ประกอบเป็นรัฐธรรมนูญอินเดียหาได้มาจากเขาเพียงผู้เดียวไม่ แม้อัมเบดการ์จะดำรงตำแหน่งประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญอินเดีย ซึ่งมีบทบาทสำคัญมากในการวางกรอบรัฐธรรมนูญ ร่วมเสนอประเด็นสำคัญที่มาจากความรู้ความสามารถและประสบการณ์ของตนเพื่อบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญอินเดีย และร่างรัฐธรรมนูญอินเดีย แต่เขาก็เป็นเพียงหนึ่งในสมาชิกของสภาดังกล่าวจากทั้งหมด 296 คน สมาชิกส่วนใหญ่มาจากพรรคคองเกรส ที่สำคัญในจำนวนดังกล่าวนอกจากอัมเบดการ์แล้ว ยังมีทลิตหรือที่คนไทยนิยมเรียกว่าจัณฑาลอีก 29 คนประกอบเป็นสมาชิกสภาฯ ด้วย ดังนั้น ที่มักจะกล่าวกันว่า รัฐธรรมนูญอินเดียเป็นผลผลิตของจัณฑาลเพียงคนเดียวนั้น จึงหาใช่ข้อเท็จจริงไม่ อัมเบดการ์เองก็เคยกล่าวในประเด็นนี้ต่อวุฒิสภาในวันที่ 2 กันยายน 1953 ด้วยความขุ่นเคืองว่า “... มีหลายส่วน[ในรัฐธรรมนูญ]ที่ไม่เป็นไปดังใจผม” ที่พบเห็นมากอีกคือ วรรณกรรมภาษาไทยที่เกี่ยวกับอัมเบดการ์จำนวนไม่น้อย เน้นอธิบายอัมเบดการ์ในมิติใดมิติหนึ่งเท่านั้น โดยเฉพาะมิติที่สัมพันธ์กับการนับถือศาสนาพุทธของเขา ซึ่งน่าจะสะท้อนว่า คนไทยส่วนใหญ่ที่นับถือศาสนาพุทธรู้สึกพึงพอใจกับบทบาทของอัมเบดการ์ในฐานะบุคคลที่นำศาสนาพุทธกลับคืนสู่แหล่งกำเนิดอีกครั้ง และอาจจะสะท้อนด้วยว่า ชาวไทยที่ประสงค์จะส่งเสริมศาสนาพุทธสามารถใช้อัมเบดการ์เป็นตัวอย่างรูปธรรมในการสำแดงความสำคัญของศาสนาพุทธที่ยังเกี่ยวข้องกับชีวิตคนในปัจจุบัน วิถีคิดในลักษณะนี้ย่อมไม่ผิด ถึงแม้อัมเบดการ์จะมิใช่ชาวฮินดูคนแรกที่เปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธในประวัติศาสตร์อินเดียสมัยใหม่ แต่เขาคือบุคคลสำคัญที่สุดในเรื่องนี้ เพราะเขาคือผู้ให้กำเนิดขบวนการพุทธใหม่ในอินเดีย ทำให้ชาวทลิตจำนวนมากเลือกปลดแอกความเป็นคนนอกวรรณะในศาสนาฮินดูโดยหันไปนับถือศาสนาพุทธ ดังที่อัมเบดการ์เคยประกาศในปี 1935 ว่า “แม้ว่าจะเกิดเป็นฮินดู แต่ไม่ขอตายในสภาพฮินดู” ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 ตุลาคม 1956 และภรรยาคนที่สองผู้เกิดในวรรณะพราหมณ์กับสาวกของเขาเกือบหกแสนคนก็ปฏิบัติตามเขา การสำรวจประชากรอินเดียปี 2001 บอกเราด้วยว่า มีชาวอินเดียที่นับถือศาสนาพุทธทั้งหมด 7.95 ล้านคน ในจำนวนนี้มีอดีตทลิตมากถึง 5.83 ล้านคน อย่างไรก็ตาม การมองอัมเบดการ์ในมิติที่เขานับถือศาสนาพุทธอันสัมพันธ์กับการปลดแอกทลิตโดยลำพัง อาจทำให้เราเข้าใจเขาได้อย่างไม่ครอบคลุม แท้จริงแล้ว อัมเบดการ์มิได้เป็นเพียงผู้นำของชาวทลิต หรือของผู้คนวรรณะล่างที่ถูกกดขี่เท่านั้น หากแต่เขาเป็นผู้นำแห่งชาติที่มีลักษณะต่างจากผู้นำอินเดียคนอื่นๆ ในยุคสมัยของเขา เช่น มหาตมาคานธีที่นำขบวนการชาตินิยมเรียกร้องเอกราชอินเดียจากบริติชราช ชาตินิยมของอัมเบดการ์สำแดงผ่านงานเขียนและการทำงานของเขา นอกจากเรื่องวรรณะและศาสนาพุทธแล้ว เขาได้เขียนเกี่ยวกับประเด็นปัญหามุสลิม ชนกลุ่มน้อย ปากีสถาน และสตรีด้วย ในด้านการทำงาน นอกจากอัมเบดการ์จะมีบทบาทสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญและสถาปนาประชาธิปไตยอินเดียแล้ว เขายังมีส่วนสำคัญในการสร้างแผนพัฒนาประเทศ สร้างนโยบายด้านชลประทานและพลังงาน และสร้างสถาบันการศึกษาด้วย ทั้งหมดที่กล่าวมายังไม่รวมถึงการที่เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกฎหมายคนแรกหลังอินเดียได้รับเอกราช ซึ่งกิจกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือการวางแนวทางกฎหมายรัฐบัญญัติว่าด้วยฮินดูเพื่อเป็นกฎบัตรแห่งสิทธิสตรีในอินเดีย เมื่อกล่าวถึงอัมเบดการ์ในฐานะผู้นำแห่งชาติ จำต้องเข้าใจด้วยว่า วิถีคิดของเขาทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมน่าเลื่อมใสมาก เขามิได้มองการแก้ปัญหาที่อินเดียเผชิญอย่างแยกส่วน แม้เขาจะมีศรัทธาในประชาธิปไตยอันมีรัฐธรรมนูญรองรับ แต่เขาเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นด้วยว่า รัฐธรรมนูญไม่ว่าจะมีเนื้อหาดีแค่ไหนก็ตาม หาใช่ยาวิเศษในการแก้ปัญหาทั้งหมดไม่ ผู้คนโดยเฉพาะผู้มีอำนาจหน้าที่จักต้องมีศีลธรรมจรรยาในการใช้รัฐธรรมนูญเพื่อให้รัฐธรรมนูญบังเกิดผลได้ดี ดังที่เขากล่าวไว้อย่างถูกต้องว่า “… ไม่ว่ารัฐธรรมนูญจะดีสักเพียงใดก็ตาม ผลก็ต้องออกมาแย่อยู่ดี เพราะผู้ใช้รัฐธรรมนูญบังเอิญเป็นคนไม่ดี ไม่ว่ารัฐธรรมนูญจะแย่สักเพียงใดก็ตาม ผลก็ยังออกมาดีได้ ถ้าผู้ใช้รัฐธรรมนูญบังเอิญเป็นคนดี” ณ จุดนี้ คงทำให้เห็นภาพบ้างแล้วว่า ความคิดของอัมเบดการ์คล้ายกับของมหาตมาคานธีอยู่บ้าง ซึ่งต่างจากความเชื่อที่ว่าอัมเบดการ์กับคานธีนั้นไม่เห็นลงรอยในทุกเรื่องทุกประเด็นอย่างสิ้นเชิง ทั้งสองมองไปไกลกว่าเอกราชทางการเมืองจากอังกฤษ แต่อัมเบดการ์ก็แตกต่างจากมหาตมาคานธีตรงที่ว่า เขามุ่งมั่นที่จะทำลายระบอบโบราณของอินเดียที่สร้างความชอบธรรมต่อการคงอยู่ของระบบวรรณะ ในขณะที่มหาตมาคานธีผู้ซึ่งไม่เห็นด้วยกับการกีดกันทางวรรณะมองเห็นระบอบโบราณอินเดียเป็นประโยชน์ไม่น้อยในการเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ ความพยายามของอัมเบดการ์มุ่งเน้นไปยังการสร้างชาติ การสร้างความเสมอภาคทางสังคม และการบูรณาการทางวัฒนธรรม ดังที่เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “การต่อสู้ของเรานั้น ใช่เพื่อความมั่งคั่ง ฤๅใช่เพื่ออำนาจ การต่อสู้ของเรานั้น เพื่ออิสรภาพ เพื่อประกาศสิทธิแห่งความเป็นมนุษย์” มิน่าแปลกใจด้วยว่าทำไมอัมเบดการ์จึงยึด ‘เสรีภาพ ความเสมอภาค และภราดรภาพ’ เป็นหลักแห่งชีวิต ชาวอินเดียจำนวนมากนิยมเรียกอัมเบดการ์ด้วยความเคารพรักว่า ‘บาบาซาเฮบ’ หรือพ่อ คำว่า ‘บาบา’ เป็นคำที่ในหลายภูมิภาคของอินเดียนิยมใช้เรียกบุรุษที่น่าเคารพนับถือ ซึ่งอาจจะหมายถึงเทพ นักบวช หรือสมาชิกครอบครัว เช่น พ่อ ลุง หรือปู่ก็ได้ ในกรณีที่ใช้กับอัมเบดการ์มักจะหมายถึงพ่อ เช่นเดียวกับผู้คนที่เรียกมหาตมาคานธีว่า ‘บาปู’ ในขณะที่คำว่า ‘ซาเฮบ’ จะหมายถึงท่านหรือคุณ รวมกันแล้วจะแปลเป็นภาษาไทยได้ว่าคุณพ่อ ในปัจจุบันผู้คนที่เคารพรักอัมเบดการ์อาจจะให้ความหมายต่อ ‘บาบาซาเฮบ’ แตกต่างกันไป มีผู้คนจำนวนหนึ่งด้วยที่ใช้คำว่า ‘บาบาซาเฮบ’ ในความหมายที่ว่าอัมเบดการ์คือบุคคลผู้มีความรอบรู้ดีและฉลาดปราดเปรื่อง อัมเบดการ์เกิดวันที่ 14 เมษายน ปี 1891 ในเมืองเล็กๆ ที่มีทหารรักษาการณ์ในตอนกลางประเทศอินเดีย เขาเป็นบุตรคนสุดท้อง (คนที่ 14) ของรามยีกับภิมาไบ สังก์ปาล อัมเบดการ์เป็นเด็กที่ถูกตามใจและเป็นที่รักของครอบครัวมาก ที่บ้านมักจะเรียกเขาด้วยชื่อเล่นอย่างรักใคร่ว่าภิมาหรือภิวา ครอบครัวของอัมเบดการ์เป็นคนนอกวรรณะที่เรียกว่าทลิต ภาษาอังกฤษนิยมใช้คำว่า ‘Untouchable’ เรียกสลับสับเปลี่ยนกับทลิตด้วย คำว่า ‘Untouchable’ หมายถึงผู้ห้ามแตะเนื้อต้องตัว ตามความเชื่อที่ว่าหากผู้มีวรรณะโดยเฉพาะพราหมณ์แตะเนื้อต้องตัวแล้ว จะทำให้ตนแปดเปื้อนได้ ทลิตในอินเดียแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มด้วยกัน ครอบครัวของอัมเบดการ์เป็นมหาร ซึ่งเป็นทลิตกลุ่มใหญ่ที่สุดกลุ่มหนึ่งในอินเดีย การที่มหารอยู่กันอย่างแพร่หลายในฝั่งตะวันตกของอินเดีย หรือรัฐมหาราษฏร์ในปัจจุบัน ทำให้เกิดสำนวนว่า ‘ที่ใดมีหมู่บ้าน ที่นั่นมีที่พักพวกมหาร’ กล่าวได้ว่า มหารเป็นกลุ่มที่ก้าวหน้าและมีพลวัตที่สุดในหมู่ทลิตด้วยกัน ทั้งในเชิงสติปัญญาทั่วไป ความยืดหยุ่นทางกายภาพ และความปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ มหารจำนวนหนึ่งเป็น “คนรับใช้ในหมู่บ้าน ผู้ทำหน้าที่ที่ตนได้รับสืบทอดจากบรรพบุรุษ ในการรับใช้หัวหน้า นักการเมืองระดับสูง และกลุ่มผู้มีอิทธิพลในหมู่บ้าน” พวกเขาได้รับจัดสรรที่ดินผืนเล็กๆ แลกกับการรับใช้ดังกล่าว และพวกเขายังเป็นแรงงานภาคเกษตรกรรมอีกด้วย ในหลายพื้นที่ของรัฐโดยเฉพาะในฝั่งตะวันออกของรัฐมหาราษฏร์ บางครั้งพวกเขาก็มีทรัพย์สินมากกว่านั้น และบางคนก็กลายเป็นชาวนาที่ร่ำรวยหรือแม้กระทั่งเจ้าที่ดินด้วย และยังพบได้อีกว่า มหารจำนวนหนึ่งประกอบอาชีพเป็นแรงงานในอุตสาหกรรมสมัยอาณานิคมอังกฤษ ในขณะเดียวกันก็มีมหารเช่นทลิตกลุ่มอื่นที่ประกอบอาชีพซึ่งคนวรรณะสูงไม่ต้องการทำด้วย นั่นคือ เก็บกวาดซากสัตว์และเศษอาหาร มหารส่วนใหญ่มีประเพณีด้านวัฒนธรรม-ศาสนาที่เชื่อมพวกเขากับขนบที่กว้างกว่าของชุมชนชนบท และสำแดงความนิยมความเท่าเทียมของมนุษย์ และปณิธานในการกอบกู้อิสรภาพของพวกเขา บางคนเป็นพวกวารกรี ซึ่งเป็นสาวกลัทธิวิโฐพา อันเป็นขบวนการภักติหลักของรัฐมหาราษฏร์ บางคนเป็นพวกมหานุภาพ ซึ่งเป็นสมาชิกขบวนการนิยมความเท่าเทียมที่ยิ่งเก่าแก่ขึ้นไปอีก จากชุมชนนี้เกิดขอทานพเนจรขึ้นหลายๆ แบบ ซึ่งมักจะแสดงความเห็นเกี่ยวกับขนบพราหมณ์ หรือมิใช่พราหมณ์ หรือมุสลิมที่พบในชนบทแบบที่ตนเองสังเคราะห์ขึ้นเอง ครอบครัวของอัมเบดการ์เป็นศิษย์สำนักปรัชญากบีร์ กบีร์ผู้เกิดเป็นมุสลิมและน่าจะมีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 15 นั้น จัดว่าเป็นหนึ่งในนักปรัชญาที่อยู่ในขบวนการฮินดูอันกว้างขวางที่รู้จักกันในนามภักติ ซึ่งมักจะใช้บทกวีและเพลงซึ่งมิได้แต่งเป็นภาษาสันสกฤต แต่เป็นภาษาพื้นบ้าน เพื่อเปลี่ยนแปลงความยึดติดแบบล้าสมัยในสังคม การเกิดขบวนการภักติในอินเดียเหนือคู่ขนานไปกับการแผ่ขยายของขบวนการซูฟีในอิสลาม ทั้งสองขบวนการนี้ต่างก็ยอมรับความคิดเรื่องความสัมพันธ์ส่วนบุคคลกับพระเจ้า นักบวชหรือมุลเลาะห์นั้นไม่จำเป็น พิธีกรรมอันเคร่งครัดก็ไม่จำเป็น ถ้อยคำประกาศศรัทธาอย่างจริงใจ ไม่ว่าจะพูดออกมาอย่างหยาบกระด้างเพียงใด แต่ก็ยังมีพลังที่จะไปถึงหูของพระเจ้า โดยรวมแล้ว กบีร์ได้สั่งสอนต่อต้านวรรณะ และยึดมั่นอุดมคติแห่งความเท่าเทียมของมนุษย์ในสายตาของพระเจ้า ดังบทกวีบทหนึ่งของเขาที่น่าจะสะท้อนตัวตนได้ไม่น้อย สูตามหาเราในหนใดเล่า ก็ตัวเราอยู่กับสู ใช่อยู่ไหน จาริกรอนแรมนานศาลเจ้าใดถึงแม้ปลีกวิเวกไป ไม่พบพลัน ไม่เห็นเราทั้งในวัดในสุเหร่า ไม่มีเราที่หินใหญ่ ไกรลาสสวรรค์ มนุษย์เอ๋ย เรากับสูอยู่ด้วยกัน ในสูนั้นมีเราอยู่เนานาน มิใช่ในมนต์ธรรมกรรมบถ มิใช่ในศีลพรตอดอาหาร มิใช่ในโยคีผู้มีฌาน มิใช่ในปวงทานหว่านบำเพ็ญ หาในห้วงอากาศ ไม่อาจพบ ค้นจนจบโลกธาตุ ไม่อาจเห็น แม้ในครรภ์ธรรมชาติ ไม่อาจเป็น เสาะในสิ่งลึกเร้น ไม่ผ่านตา เพียรค้นดูแล้วสูจะได้พบ ได้ประสบในยามนั้นที่มั่นหา เงี่ยหูฟังกบีร์ท่านจะพรรณนา ในศรัทธาของสู เราอยู่เอยฯ
ดร.อัมเบดการ์ กับการพบรัก และการประกาศตนเป็นชาวพุทธ
ดร.อัมเบดการ์ ได้พบรักกับแพทย์หญิงในวรรณะพราหมณ์คนหนึ่ง ชื่อว่า ชาดา คาไบ ในโรงพยาบาลที่เขาไปรับการรักษาอาการป่วย และเป็นครั้งแรกที่คนในวรรณะต่ำเช่นท่านได้แต่งงานกับคนในวรรณะสูง คือวรรณะพราหมณ์ และมีคนใหญ่คนโต นักการเมือง พ่อค้า คนในวรรณะต่างๆ มาร่วมงานแต่งงานของท่านมากมาย.หลังจากนั้น ดร.อัมเบดการ์ ได้ลงจากเก้าอี้ทางการเมือง ท่านถือว่าท่านไม่ได้ชื่นชอบกับตำแหน่งทางการเมืองอะไรนัก ที่ท่านเป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ก็เพราะท่านต้องการทำงานเพื่อเรียกร้องความถูกต้องให้แก่คนที่อยู่ในวรรณะ ต่ำที่ได้รับการข่มเหงรังแกเท่านั้น
เหตุการณ์สำคัญประการหนึ่ง ที่ ดร.อัมเบดการ์ได้กระทำ และเป็นสิ่งซึ่งมีคุณูปการมากต่อพระพุทธ
ศาสนาในประเทศอินเดียคือ การเป็นผู้นำชาวพุทธศูทรกว่า ๕ แสนคน ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ซึ่ง ดร.อัมเบดการ์สนใจพระพุทธศาสนามานานแล้ว โดยเฉพาะจากการได้อ่านหนังสือพระประวัติของพระพุทธเจ้า ซึ่งเขียนโดยพระธัมมานันทะ โกสัมพี ชื่อว่า "ภควาน บุดดา"(พระผู้มีพระภาคเจ้า) ท่านได้ศึกษาแล้วว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ไม่มีข้อรังเกียจในเรื่องวรรณะ ไม่ปิดกั้นการศึกษาพระธรรม ให้ความเสมอภาค และภราดรภาพ แก่คนทุกชั้น ในจิตใจของ ดร.อัมเบดการ์ เป็นชาวพุทธอยู่ก่อนแล้ว แต่ท่านตั้งใจจะทำให้เป็นรูปเป็นร่างยิ่งขึ้นก็คือ การปฏิญาณตนเป็นชาวพุทธพร้อมกับพี่น้องชาวอธิศูทร ในงานฉลองพุทธชยันติ (Buddhajayanti)
ดร.อัมเบดการ์ ได้กล่าวสดุดีพระพุทธศาสนา โดยเขียนหนังสือเผยแผ่พระพุทธธรรมหลายเล่ม เช่น "พุทธธรรม" (Buddha and His Dhamma) "ลักษณะพิเศษของพระพุทธศาสนา" (The Essential of Buddhism) และคำปาฐกถาอื่นๆ ที่ได้รับการตีพิมพ์ภายหลัง เช่น "การที่พระพุทธศาสนาหมดไปจากอินเดีย" (The down fall of Buddhism in india) เป็นต้น
ก่อนหน้าที่จะมีงานฉลองพุทธชยันตี เป็นที่ทราบกันดีว่า อินเดียในขณะนั้น มีชาวพุทธอยู่แทบจะเรียกได้ว่าเป็น อัพโภหาริก คือน้อยจนเรียกไม่ได้ว่ามี แต่เหตุใดจึงมีงานฉลองนี้ขึ้น คำตอบนี้น่าจะอยู่ที่ ท่านยวาห์ ราล เนรูห์ ซึ่งได้กล่าวคำปราศรัยไว้ในที่ประชุมโลกสภา (รัฐสภาของอินเดีย) เรื่องการจัดงานฉลองพุทธชยันตี ว่า "พระพุทธเจ้า เป็นบุตรที่ปราดเปรื่องยิ่งใหญ่และรอบรู้ที่สุดของอินเดีย ในโลกนี้ซึ่งเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เคียดแค้น และรุนแรง คำสอนของพระพุทธเจ้าส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์ที่รุ่งโรจน์ ไม่มีคนอินเดียคนใดที่จะนำเกียรติยศ เกียรติภูมิ กลับมาสู่อินเดียได้เท่ากับพระพุทธองค์ หากเราไม่จัดงานฉลองท่านผู้นี้แล้ว เราจะไปฉลองวันสำคัญของใคร"
ในงานฉลองพุทธชยันตินั้น รัฐบาลอินเดียได้จัดสรรงบประมาณการจัดงาน ฉลองตลอด ๑ ปีเต็ม โดยวนเวียนฉลองกันไปตามรัฐต่างๆ รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณ อย่างเช่น ทำการตัดถนนเข้าสู่พุทธสังเวชนียสถานต่างๆให้ดีขึ้น สร้างธรรมศาลา อำนวยความสะดวกแก่ผู้มาร่วมงานพุทธชยันตีจากประเทศต่างๆ จัดพิมพ์หนังสือสดุดีพระพุทธศาสนา จัดทำหนังสือวิชาการพระพุทธศาสนา โดยนักปราชญ์หลายท่านเขียนขึ้น ประธานาธิบดีราธกฤษนัน เขียนคำนำสดุดีพุทธคุณ ให้ชื่อว่า "2500 years of Buddhism" (๒๕๐๐ ปีแห่งพระพุทธศาสนา) ทั่วทั้งอินเดีย ก้องไปด้วยเสียง พุทธัง สรณัง คัจฉามิ นำการปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ
ส่วนในการปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ นั้น ดร.อัมเบดการ์ได้นำชาววรรณะศูทร ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะที่เมืองนาคปูร์ สาเหตุที่ท่านเลือกเมืองนี้แทนที่จะเป็นเมืองใหญ่ๆ อย่าง บอมเบย์ หรือเดลี ท่านได้ให้เหตุผลว่า "ผู้ที่ทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตอนแรกๆ นอกจากพระสงฆ์คือพวกชนเผ่านาค ซึ่งถูกพวกอารยัน
กดขี่ข่มเหง ต่อมาพวกนาคได้พบกับพระพุทธเจ้า พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมจนพวกนาคเหล่านั้นเลื่อมใส ปฏิญาณตนเป็นชาวพุทธและเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่ว เมืองนาคปูร์นี้ เป็นเมืองที่พวกนาคตั้งหลักแหล่งอยู่"
(คำกล่าวของท่านอัมเบดการ์มีมูลอยุ่ไม่น้อย และจะว่าไปแล้ว หลังจากพระพุทธศาสนาเริ่มถูกทำลายจากอินเดีย เมืองนาคปูร์เป็นเมืองที่มีชาวพุทธอาศัยอยู่มาก และเป็นเมืองที่มีชนชั้นศูทร หรือคนวรรณะต่ำอยู่มากอีกด้วย ดังนั้นศูนย์กลางพุทธศาสนิกชนในอินเดียปัจจุบันที่เป็นคนวรรณะศูทร จึงอยู่ที่นาคปูร์)
ในการปฏิญาณตนเป็นชาวพุทธ ๕ แสนคน เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ (๒๔๙๙ของไทย)นั้น มีพระภิกษุอยู่ในพิธี ร่วมเป็นสักขีพยานด้วย ๓ รูป คือ พระสังฆรัตนเถระ (Ven. M. Sangharatana Thera) พระสัทธราติสสะเถระ (Ven. S. Saddratissa Thera) และพระปัญญานันทะเถระ (Ven. Pannanand Thera) ในพิธีมีการประดับธงธรรมจักรและสายรุ้งอย่างงดงาม ในพิธีนั้น ผู้ปฏิญาณตนได้กล่าวคำปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ และ คำปฏิญญาน ๒๒ ข้อ ของ ดร.อัมเบดการ์ ดังนี้
๑. ข้าพเจ้าจะไม่บูชาพระพรหม พระศิวะ พระวิษณุต่อไป
๒. ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อว่าพระราม พระกฤษณะ เป็นพระเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่เคารพต่อไป
๓. ข้าพเจ้าจะไม่เคารพบูชาเทวดาทั้งหลายของศาสนาฮินดูต่อไป
๔. ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อลัทธิอวตารต่อไป
๕. ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อว่า พระพุทธเจ้าคืออวตารของพระวิษณุ การเชื่อเช่นนั้น คือคนบ้า
๖. ข้าพเจ้าจะไม่ทำพิธีสารท และบิณฑบาตแบบฮินดูต่อไป
๗. ข้าพเจ้าจะไม่ทำสิ่งที่ขัดต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า
๘. ข้าพเจ้าจะไม่เชิญพราหมณ์มาทำพิธีทุกอย่างไป
๙. ข้าพเจ้าเชื่อว่าทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้มีศักดิ์ศรีและฐานะเสมอกัน
๑๐. ข้าพเจ้าจะต่อสู้เพื่อความมีสิทธิเสรีภาพเสมอกัน
๑๑. ข้าพเจ้าจะปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ โดยครบถ้วน
๑๒. ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ โดยครบถ้วน
๑๓. ข้าพเจ้าจะแผ่เมตตาแก่มนุษย์และสัตว์ทุกจำพวก
๑๔. ข้าพเจ้าจะไม่ลักขโมยคนอื่น
๑๕. ข้าพเจ้าจะไม่ประพฤติผิดในกาม
๑๖. ข้าพเจ้าจะไม่พูดปด
๑๗. ข้าพเจ้าจะไม่ดื่มสุรา
๑๘. ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญตนในทาน ศีล ภาวนา
๑๙. ข้าพเจ้าจะเลิกนับถือศาสนาฮินดู ที่ทำให้สังคมเลวทราม แบ่งชั้นวรรณะ
๒๐.ข้าพเจ้าเชื่อว่าพุทธศาสนาเท่านั้นที่เป็นศาสนาที่แท้จริง
๒๑. ข้าพเจ้าเชื่อว่าการที่ข้าพเจ้าหันมานับถือพระพุทธศาสนานั้นเป็นการเกิดใหม่ที่แท้จริง
๒๒. ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตนตามคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด
หลังจากปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะแล้ว ท่านกล่าวว่า "ข้าพเจ้าเกิดมาจากตระกูลที่นับถือศาสนาฮินดู
แต่ข้าพเจ้าจะขอตายในฐานะพุทธศาสนิกชน"
ดร.อัมเบดการ์ ถึงแก่กรรม
เมื่อ ดร.อัมเบดการ์ ถึงแก่กรรมนั้น มีหลายท่านแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง เมื่อข่าวการมรณะกรรมของท่านแพร่สะพัดออกไป มีทั้งรัฐมนตรี นักการเมือง เดินทางมาเคารพศพและแสดงความเสียใจแก่ภรรยาของ ดร.อัมเบดการ์ นายกรัฐมนตรีเนรูห์ได้กล่าวอย่างเศร้าสลดว่า "เพชรของรัฐบาลหมดไปเสียแล้ว" ในวันต่อมา
นายกรัฐมนตรีเนรูห์ได้กล่าวไว้อาลัย ดร.อัมเบดการ์ และสดุดีความดีของท่านอย่างมากมาย ตอนหนึ่งท่านได้กล่าวว่า "ชื่อของอัมเบ็ดการ์ จะต้องถูกจดจำต่อไปอีกชั่วกาลนาน โดยเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อลบล้างความอยุติธรรมในสังคมฮินดู อัมเบดการ์ต่อสู้กับสิ่งที่ทุกคนเห็นว่าเป็นสิ่งจำเป็นต้องต่อสู้ อัมเบดการ์ได้เป็นคน
ปลุกให้สังคมของฮินดูได้ตื่นจากความหลับ". นอกจากนี้ยังได้ให้มีการหยุดประชุมโลกสภา เพื่อไว้อาลัยแด่ ดร. อัมเบดการ์ ด้วย
หลังจากนั้น ได้มีคนสำคัญต่างๆ และผู้ทราบข่าวการมรณกรรมของ ดร.อัมเบดการ์มากมาย ได้ส่งโทรเลขไปแสดงความเสียใจต่อภรรยาของ ดร.อัมเบดการ์ มุขมนตรีของบอมเบย์ คือนาย ชะวาน ถึงกับประกาศให้วันเกิดของ ดร.อัมเบดการ์ เป็นวันหยุดราชการของรัฐ เพื่อเป็นเกียรติแก่ดวงวิญญาณของ ดร.อัมเบดการ์
ภรรยาของท่านต้องการจะนำศพของดร.อัมเบดการ์ ไปทำพิธียังบอมเบย์ รัฐบาลก็ได้จัดเที่ยวบินพิเศษให้ เมื่อเครื่องบินนำศพมาถึงบอมเบย์ ประชาชนหลายหมื่นคนได้มารอรับศพของ ดร.อัมเบดการ์ หลายคนที่ไม่สามารถอดกลั้นความเศร้าไว้ได้ต่างก็ร้องไห้ไปตามๆ กัน
ท้ายเรื่อง
ดร.อัม เบดการ์ ผู้เกิดมาจากสังคมอันต่ำต้อย ต่อสู้เพื่อตัวเอง เพื่อสังคม และเพื่อประเทศชาติอันเป็นส่วนรวม ตั้งแต่เกิดจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต บัดนี้ท่านได้จากไปแล้ว ทิ้งแต่ความดีเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้จดจำและสรรเสริญ. ชาวพุทธในอินเดียเชื่อว่า วิญญาณของ ดร.อัมเบดการ์คงยังไม่ไปไหน จะคงอยู่กับพวกเขา คอยช่วยพวกเขา เพราะ ดร.อัมเบดการ์ไม่เคยทิ้งคนจน ไม่เคยลืมคนยาก ช่วยเหลือพวกเขาอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ต่อท้ายจากบทสวดสังฆรัตนะ พวกเขาจึงอ้างเอา ดร.อัมเบดการ์ เป็นสรณะด้วย โดยสวดว่า
พิมพัง (ขื่อเดิมของ ดร.อัมเบดการ์) สรณัง คัจฉามิ อยู่จนทุกวันนี้.
(หมายเหตุ: "พิมพัง" เป็นขื่อเดิมของ ดร.อัมเบดการ์)
อ้างอิงที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=inthedark&month=31-07-2007&group=22&gblog=15
No comments:
Post a Comment