Wednesday, June 13, 2018

ชีวประวัติของ พล ต อ วสิษฐ เดชกุญชร เสียชีวิตแล้ว 14 มิย 61


VDO ด้านบนนี้ คือ วสิษฐ เดชกุญชร Vasit Dejkunjorn เล่าบันทึกความทรงจำ รอยพระยุคลบาท
Official Matichon TV สัมภาษณ์ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร

พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ตำรวจตงฉิน : หนึ่งในปูชนียบุคคลของสังคมไทย
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           คำว่า "ปูชนียบุคคล" นั้น เราใช้เรียกบุคคลที่ควรแก่การเคารพ ยกย่อง สรรเสริญ จากคุณงามความดีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจริยธรรมที่บุคคลนั้นได้สร้างมาจวบจนชั่วชีวิต และในโอกาสที่ นิตยสาร ฅ คน ประจำเดือนพฤศจิกายน เป็นฉบับครบรอบ 8 ปี จึงได้ยกย่อง 8 บุคคลของสังคมไทยต่อไปนี้ให้เป็น "ปูชนียบุคคล" ผู้เป็นแบบอย่างที่ดีงามให้แก่คนในสังคม...
จากความคิดสมัยเด็กที่อยากจะแก้แค้นตำรวจที่เคยจับขังคุก 1 คืน อย่างไร้เหตุผล ทำให้ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร มุ่งมั่นจะเป็นตำรวจให้จงได้ และท่านก็สามารถเข้ารับราชการที่กรมตำรวจได้สมดังใจ ก่อนจะได้ลัดฟ้าไปทำงานที่สำนักงานองค์กรสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีโต้) และเลือกกลับมาประจำการที่สถานีภูธรในภาคอีสาน เพราะอยากจะรู้ว่า "อะไรทำให้คนอีสานเป็นคอมมิวนิสต์" (ในช่วง พ.ศ. 2503 บ้านเมืองกำลังเผชิญปัญหาคอมมิวนิสต์) การไปประจำที่ภูธรครั้งนั้น ทำให้นายตำรวจจากเมืองกรุงได้ปะทะกับผู้ก่อการร้ายเป็นครั้งแรก และเป็นดั่งรอยต่อสำคัญทางความคิดว่า จะอยู่ต่อ หรือจะลาออกจากอาชีพผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เพื่อไปทำงานอื่นซึ่งมีคนทาบทามเข้ามาแล้ว



          "...แต่ผมไม่ไป ผมตัดสินใจอยู่ต่อ แล้วผมก็อยู่เรื่อยมาจนกระทั่งเกษียณ" นายตำรวจ ผู้ซึ่งได้ทุนไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา บอก และหลังจากนั้นท่านก็ถูกย้ายไปประจำตามภาคต่าง ๆ แม้กระทั่งถูกส่งตัวไปเรียนที่เอฟบีไอ พอกลับมาก็ได้ไปช่วยฝึกชาวบ้านรบกับคอมมิวนิสต์ เพื่อให้ชาวบ้านรู้จักพัฒนาตัวเอง ในครั้งหนึ่ง ท่านมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ พระเจ้าอยู่หัว โดยไม่ได้คาดฝัน ซึ่งในหลวงก็รับสั่งให้ตามเสด็จฯ ทำให้ พล.ต.อ.วสิษฐ ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นนายตำรวจราชสำนักประจำ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 จนถึง พ.ศ. 2524 เป็นระยะเวลา 12 ปีเต็ม

          สิ่งหนึ่งที่นายตำรวจตงฉินได้จากการปฏิบัติหน้าที่ตามเสด็จฯ ในหลวง ก็คือ "ธรรมะ" ซึ่งเป็นสิ่งที่ พล.ต.อ.วสิษฐ ศึกษาและปฏิบัติตามพระองค์ท่านจนติดเป็นนิสัย พล.ต.อ. บอกว่า ธรรมะทำให้เราสามารถจะมองชีวิตในความเป็นจริง คนเรามักตะเกียกตะกายหาสิ่งที่ตัวเองนึกว่าเป็นความสุข ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่หานี้คือทุกข์ ได้มาชั่วครู่ชั่วยาม


          นอกจากเป็นนายตำรวจตงฉิน ผู้ยึดในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์แล้ว อีกด้านหนึ่งของชีวิต พล.ต.อ.วสิษฐ ก็ยังเป็นนักเขียนที่สร้างสรรค์ผลงานมาตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาในรั้วจามจุรี โดยเฉพาะงานเขียนนวนิยายที่เกี่ยวข้องกับตำรวจ เป็นงานเขียนประจำของท่านไปแล้ว ซึ่งจากผลงานของท่านก็ทำให้ท่านได้รับการประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ มาตั้งแต่ปี 2541 และแม้จะย่างเข้าสู่วัย 83 ปี แต่ท่านก็ยังมีความคิดจะเขียนนวนิยายอีกสักเล่ม

          ในฐานะที่เป็นอดีตตำรวจ และเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง พล.ต.อ.วสิษฐ ยอมรับว่า รู้สึกหนักใจที่สังคมไทยกำลังเกิดปัญหาซึ่งแทรกซึมอย่างฝังลึก เพราะคุณธรรมของสังคมไทยอ่อนลง หันไปหาวัตถุนิยมกันมากขึ้น ความเห็นแก่ตัวมากขึ้นกว่าสมัยก่อน ความเกรงอกเกรงใจก็น้อยลง

          "เราเหมือนกับสอนลูกสอนหลานเรื่องของการให้เสรีภาพ สอนให้รู้จักสิทธิ แต่ลืมสอนเรื่องหน้าที่ เดี๋ยวนี้ผมรู้สึกว่าการอบรมเรื่องหน้าที่น้อยลง แล้วคนตื่นตัวมากเรื่องการสงวนสิทธิ ป้องกันสิทธิ แต่ถึงตอนทำหน้าที่ไม่ทำ กับปัญหาที่เกิดขึ้น ถ้าจะให้ตอบ ผมก็ต้องบอก แก้ที่ตัวเอง" นายตำรวจตงฉิน สะท้อนภาพสังคมไทยในปัจจุบันอย่างเป็นห่วง

เรื่องผลงานในหน้าที่ของการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฏร์คงไม่ต้องพูดถึงความสามารถของท่าน อีกทั้งยังเป็นคนรักการอ่าน-เขียน จึงเป็นนักเขียนนิยายชื่อดังอย่าง
พลตำรวจเอก วสิษฐ เดชกุญชร (14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2472 - ) อดีตนายตำรวจราชสำนักประจำ และเป็นผู้ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไว้วางพระราชหฤทัย จนได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง หัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ ก่อนที่จะออกมาดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมตำรวจ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ที่เป็นนักเขียนนวนิยายเกี่ยวกับวงการตำรวจ และอาชญากรรม โดยนำมาจากประสบการณ์จริง จนได้รับการเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2541 ได้รับยกย่องว่าเป็นตำรวจตงฉินแห่งกรมตำรวจไทย ยุคปราบปรามคอมมิวนิสต์

พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร เกิดที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุดรธานี บิดามารดามีอาชีพเป็นครู จบการศึกษาชั้นมัธยมจากโรงเรียนประจำจังหวัดขอนแก่น "โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน" เมื่อ พ.ศ. 2487 สำเร็จการศึกษาชั้นเตรียมอุดมศึกษาจากจากโรงเรียนอำนวยศิลป์ พระนคร รุ่น ลมหวล ศึกษาต่อรัฐศาสตรบัณฑิต ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้เข้าศึกษารัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบริหารการตำรวจ จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เคยเข้ารับการอบรมหลักสูตรการสืบสวนจากสหรัฐอเมริกา จบหลักสูตรวิชาการป้องกันประเทศ จากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.รุ่นที่ 23)
สมรสกับ คุณหญิงทัศนา (บุนนาค) เดชกุญชร เมื่อ พ.ศ. 2500
มีบุตร 2 คน คือ ว่าที่ร้อยตรี ดร. สุทรรศน์ เดชกุญชร และ ร้อยตำรวจตรีหญิงปรีณาภา เดชกุญชร
พลตำรวจเอก วสิษฐ มีหลาน 3 คน ได้แก่ น.ส.ปัญจรัตน์ เดชกุญชร ,จ่าเอก ชิษณุวัฒน์ เดชกุญชร และ น.ส.ณัฐพร เดชกุญชร

พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร เริ่มรับราชการในตำแหน่งอาจารย์ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ พ.ศ. 2495 ต่อมาได้ลาออกไปสมัครเข้ารับราชการในกรมประมวลราชการแผ่นดิน (ต่อมาคือกรมประมวลข่าวกลาง) แล้วโอนไปรับราชการที่กองตำรวจสันติบาล กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และย้ายไปเป็นนายตำรวจราชสำนักประจำในปี พ.ศ. 2513 เคยได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2516 เป็นสมาชิกวุฒิสภา ในปี พ.ศ. 2532 และในปี พ.ศ. 2539 - 2543 และเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นระยะเวลาสั้นๆ ตั้งแต่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2533 ถึง 9 ธันวาคม พ.ศ. 2533 ตำแหน่งสุดท้ายในกรมตำรวจก่อนลาออกไปเป็นรัฐมนตรีเป็น รองอธิบดีกรมตำรวจ ฝ่ายกิจการพิเศษ


สั่งซื้อ คลิ๊ก!!!
ผลงานเขียนของ วสิษฐ เดชกุญชร ที่มีชื่อเสียง เป็นนิยายที่เขียนจากประสบการณ์ในราชการตำรวจ มีตัวเอกเป็นตำรวจที่มีอุดมการณ์ เขียนโดยใช้ชื่อจริง และเคยใช้นามปากกา "'โก้ บางกอก" นิยายหลายเรื่องมีผู้นำไปสร้างภาพยนตร์ และละครโทรทัศน์ โดยเฉพาะนวนิยายชุดองค์กรลับต่อต้านผู้ก่อการร้าย ที่มีตัวเอกชื่อ "ธนุส นิราลัย" กับ "ลำเพา สายสัทกุล" (สารวัตรเถื่อน, แม่ลาวเลือด, หักลิ้นช้าง, อวสานสายลับ, บ่วงบาศ, ประกาศิตอสูร) ดงเย็น, จันทน์หอม, ลว.สุดท้าย, สารวัตรเถื่อน, แม่ลาวเลือด, หักลิ้นช้าง, อวสานสายลับ, บ่วงบาศ, ประกาศิตอสูร, สารวัตรใหญ่, สันติบาล, เลือดเข้าตา, เบี้ยล่าง, พรมแดน ผลงานตีพิมพ์ล่าสุด หนังสือรวมเรื่องสั้น " สัพเพเหระคดี เล่ม ๑ และ ๒ โดย Cruditas Publishing

ผลงานที่ถูกนำไปสร้างละครโทรทัศน์

สารวัตรเถื่อน (2530) ฉายทาง ช่อง 7 นำแสดงโดย ฉัตรชัย เปล่งพานิช ฐาปกรณ์ ดิษยะนันทน์

แม่ลาวเลือด (2533) ฉายทาง ช่อง 3 นำแสดงโดย ฉัตรชัย เปล่งพานิช จริยา สรณคม เกรียงไกร อุณหะนันทน์ รัญญา ศิยานนท์

สารวัตรใหญ่ (2537) ฉายทาง ช่อง 7 นำแสดงโดย ลิขิต เอกมงคล รับบท พ.ต.ท.ใหญ่ เวโรจน์
ยุทธพิชัย ชาญเลขา รับบท ว่าที่ ร.ต.ต.พิทยาธร



เลือดเข้าตา (2538) ฉายทาง ช่อง 5 นำแสดงโดย จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์ รับบท ร.ต.ต.พันแสง อัศวโกวิทวัฒน์ สันติสุข พรหมศิริ รับบท สารวัตรก้อนเส้า

หักลิ้นช้าง (2539) ฉายทาง ช่อง 7 นำแสดงโดย พีท ทองเจือ รับบท ธนุส นิราลัย ลินดา ครอส รับบท คริสติน่า

สันติบาล (2539) ฉายทาง ช่อง 5 นำแสดงโดย ไมเคิล พูพาร์ท รับบท การุณ ฟ้ารุ่ง ชาลีรักษ์ รับบท โจเซฟิน ขจรศักดิ์ รัตนนิสสัย รับบท พ.ต.อ.สาม

ความสัมพันธ์ระหว่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 และพล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร เริ่มต้นขึ้น พ.ศ. 2513 – 2524 พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ได้รับราชการเป็นนายตำรวจราชสำนักประจำ และเป็นหนึ่งในกลุ่มปัญญาชนรุ่นแรกผู้ถวายงานใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นผู้เผยแพร่อุดมการณ์โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริคนสำคัญ นอกจาก การเป็นนายตำรวจราชสำนักประจำแล้ว ยังเป็นนักเขียนผู้มีผลงานที่รู้จักด้านนวนิยาย จนได้รับรางวัลหนังสือดีเด่นในปี พ.ศ. 2524 รวมถึงเป็นมือเขียนบทความ เรื่องสั้น และงานเขียนสารคดีเฉลิมพระเกียรติ “รอยพระยุคลบาท: บันทึกความทรงจำของพล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร” ซึ่งตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ในมติชนสุดสัปดาห์ เมื่อปี พ.ศ. 2524 – 2543 จนได้รับการตีพิมพ์รวมเล่มเมื่อปี พ.ศ. 2544 จนได้รับการเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2541

อดีตนายตำรวจราชสำนักประจำ เคยกล่าวไว้ว่า เขายังเคยถวายการแสดงละครหน้าพระที่นั่งร่วมกับ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ในปี พ.ศ. 2502 หรือ 2503 (พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร 2544: 14)

พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร เป็นผู้ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ไว้วางพระราชหฤทัยอย่างมาก โดยเฉพาะการเป็นตำรวจตงฉินแห่งกรมตำรวจไทย สอนวิชาประวัติศาสตร์และการเมืองให้ตำรวจตระเวนชายแดน ในยุคปราบปรามคอมมิวนิสต์ และยังทำหน้าที่เป็นผู้เผยแพร่อุดมการณ์ในการปราบปรามคอมมิวนิสต์ให้กับนายตำรวจในระดับปฏิบัติการโดยตรงผ่านบทบาทของการเป็นครูบรรยายให้กับผู้ปฏิบัติหน้าที่ในการปราบปรามเมื่อปี พ.ศ. 2504 ซึ่งเป็นปีแห่งการเริ่มต้นของการต่อสู้ระหว่างตำรวจและคอมมิวนิสต์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พล.ต.อ.วสิษฐ ร่วมโต๊ะเสวยในการเสด็จประทับที่พระราชวังไกลกังวล สม่ำเสมอ และยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตามเสด็จเพื่อถวายความปลอดภัยขณะเสด็จพระราชดำเนินพระราชวังไกลกังวล แต่ในช่วงนั้น พล.ต.อ.วสิษฐ ยังไม่มีหน้าที่นี้โดยตรง จึงต้องขออนุญาตจากผู้บังคับบัญชาเป็นครั้งคราวไป (พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร 2544: 20-21)

สำหรับการถวายความปลอดภัยให้กับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และพระราชวงศ์ หน้าที่ที่สำคัญของ พล.ต.อ.วสิษฐ ยังมีบทบาทในการเผยแพร่พระราชกรณียกิจในการเขียนข่าว การเสด็จพระราชดำเนินให้กับสำนักราชเลขาธิการเพื่อนำไปประกอบการนำเสนอข่าวในพระราชสำนัก ซึ่ง พล.ต.อ.วสิษฐ ยังได้รับเชิญให้ไปเผยแพร่พระราชกรณียกิจจากหน่วยงานต่าง ๆ เป็นประจำ ทั้งองค์กรระหว่างประเทศ และหน่วยงานต่าง ๆ ดังปรากฏในข้อความตอนหนึ่งว่า

“…ผมได้รับคำเชิญจากสโมสรโรตารี่กรุงเทพฯ ให้ไปพูดเรื่อง The King Upcountry ที่โรงแรมเอราวัณ กรุงเทพฯ การพูดเรื่องพระราชกรณียกิจเป็นเหมือนกิจกรรมนอกหลักสูตร (ที่จริงนอกหน้าที่ราชการ) ที่ผมได้รับเชิญและปฏิบัติอยู่เป็นครั้งคราว และปรากฏว่ามากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดเมื่อพ้นตำแหน่งนายตำรวจ ราชสำนักประจำ ออกมาทำหน้าที่อื่นไกลพระยุคลบาท และจนกระทั่งทุกวันนี้ ก็ยังมีผู้เชิญไปพูดอยู่มิขาด เมื่อแรกผมไม่ค่อยจะสบายใจนัก และได้บอกผู้เชิญตามตรงว่าผมพ้นตำแหน่งในราชสำนักมานานแล้ว ข้อมูลเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจที่ผมมีอยู่เป็นข้อมูลเก่าไม่ทันสมัย หากเชิญผู้อื่นที่ยังทำหน้าที่อยู่ใกล้พระยุคลบาทจะเป็นการเหมาะกว่า แต่ก็ปรากฏว่ายังมีผู้เชิญอยู่นั่นเอง ในที่สุดก็จึงต้องปลงว่าแม้จะเป็นเรื่องเก่า แต่ก็เป็นเรื่องของพระราชกรณียกิจอันทรงคุณค่า ควรแก่การรู้เห็นของผู้อื่นที่มิได้มีโอกาสได้รู้ ถ้าหากยังอยากฟังกันอยู่ และถ้าผมยังพูดไหว ก็คงจะต้องพูดกันต่อไปเรื่อย ๆ…” (วสิษฐ เดชกุญชร 2544: 454)

‘พระสมเด็จจิตรลดา’ จากพระหัตถ์ กับคำสอน ร.9 ถึง ‘วสิษฐ เดชกุญชร’
พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ราชองครักษ์ในรัชกาลที่ 9
ฉายา “ตำรวจตงฉินแห่งกรมตำรวจไทย” หัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ ผู้ตามเสด็จถวายความปลอดภัย และเผยแพร่พระราชกรณียกิจ



พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร หัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ (ตั้งแต่ พ.ศ. 2513 – 2524) เคยสมัครเข้าร่วมเป็นยุวชนทหารในสมัยเรียนมัธยม ต่อมาเข้าร่วมเป็นสมาชิกขบวนการเสรีไทย ในปลายสงครามโลกครั้งที่สองกับ นายปรีดี พนมยงค์ (หลวงประดิษฐ์มนูธรรม) สำเร็จการศึกษาเกียรตินิยม รัฐศาสตร์บัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนเดินทางศึกษาต่อที่โรงเรียนตำรวจนครบาลนิวยอร์ก และวิทยาลัยเอฟบีไอ (Master of Public Administration) ประเทศสหรัฐฯ

ชีวิตตำรวจ:พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร

ชีวิตตำรวจ : พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร
ความคิดเเละความมุ่งมั่น กลั่นเป็นอัตชีวประวัติ อันทรงความหมายต่อประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ผู้เขียน พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร

สั่งซื้อ จาก SE-Ed โดยตรง เพียงคลิ๊ก!!! 
ราคา 228 บาท จากราคา 240 บาท หรือ สั่งเป็น E-book
PDF ราคา 159 บาท


เนื้อหาโดยสังเขป
    หนังสืออัตชีวประวัติของ "พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร" ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนับแต่ผู้เขียนนับแต่ได้มีโอกาสรับใช้ชาติในฐานะผู้ร่วมขบวนการเสรีไทย โดยมีทัศนคติที่เป็นธรรมต่อกระแสสังคมในยุคดังกล่าว และเมื่อถูกรังแกจากข้าราชการตำรวจนายหนึ่ง จึงตั้งมั่นว่าหากมีโอกาสจะต้องเป็นตำรวจ และที่สำคัญก็คือ ต้องเป็น "ตำรวจที่ดี" ให้ได้!

    หลังจากนั้นเขาก็ได้ร่ำเรียนศึกษาและเป็นอาจารย์สอนอยู่ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนจะมีโอกาสไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา แล้วกลับมารับราชการตำรวจ ชีวิตของเขาต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมาย นับแต่การเรียนรู้การเป็นสายลับ การสืบสวนสอบสวนคนร้ายในคดีการเมือง ท่ามกลางการเมืองทั้งในและนอกองค์กร แต่บทบาทที่เขาภูมิใจที่สุดในชีวิตก็คือ การได้มีโอกาสรับใช้เบื้องพระยุคลบาทในฐานะตำรวจราชสำนักประจำเป็นเวลาหลายปี ก่อนจะมีโอกาสเข้าอุปสมบท และหวนกลับมาขึ้นมาถึงจุดสูงสุดอีกครั้ง ในฐานะรองอธิบดีกรมตำรวจ นับเป็นบทบาทชีวิตที่โลดโผน ท้าท้าย และเป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้ชีวิตที่ควรค่าแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
สารบัญ
- ทีเเรกนึกว่าจะได้เป็นทหาร
- นึกว่าจะได้เป็นทหารเเต่สอบตก
- ตัดสินใจจะเป็นตำรวจในห้องขัง
- ไปได้เรียนตำรวจเอาที่อเมริกา
- เเถมได้เรียนควบในโรงเรียนตำรวจนิวยอร์กด้วย
- ตกต่ำถึงกับต้องรับจ้างทำงานห้องสมุด
- ถูกเหยียบแบนก่อนจะได้รับโอนไปเป็นตำรวจ
- ยังเป็นตำรวจไม่ได้ ต้องไปเป็นสายลับก่อน
- ปฏิบัติราชการลับร่วมกับซีไอเอ
- หลุดเข้าไปอยู่ในวงการตอบโต้คอมมิวนิสต์ ระหว่างประเทศ
ฯลฯ

รอดตายด้วยพระบารมี! เผยวินาที ฮ.ตก พล.อ.วสิษฐ พึ่งพระสมเด็จจิตรลดา พระกำลังแผ่นดินที่ในหลวง ร.๙ ทรงกดลงพิมพ์ด้วยพระหัตถ์พระองค์เอง
เรื่องเล่าหนึ่งในหนังสือ”พ่อของแผ่นดิน’ของผม ได้จากหนังสือ “รอยพระยุคลบาท” บันทึกความทรงจำของพลตำรวจเอก วสิษฐ เดชกุญชร น่าประทับใจมากครับ ท่านเล่าไว้ตอนหนึ่งว่า

"... ขณะที่เฮลิคอปเตอร์กำลังร่วงลงไปนั้น ผม (พลตำรวจเอกวสิษฐ เดชกุญชร) มีความรู้สึกอย่างเดียวกับนักบิน คือนึกว่าตัวเองกำลังจะตายเพราะเครื่องบินตก ผมได้ยินทุกคนในเครื่องบินต่างสวดมนต์เสียงดังไม่ได้ศัพท์

ตัวผมเองนั้น ทำสิ่งที่ผมเชื่อว่าจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ได้ทำก่อนตายคือ เอามือกุมพระเครื่ององค์เดียวที่ห้อยคออยู่แล้วร้องเรียกพระห้าองค์ที่ผมไหว้เป็นประจำคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จฯ (สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ)
พระเครื่ององค์นั้น เป็นพระเครื่องที่ผมได้รับพระราชทานจากพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่หัว ในคืนวันหนึ่งใน พ.ศ. 2510 หลังจากที่รับพระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำในวังไกลกังวล คือ“พระสมเด็จจิตรลดา” หรือ "พระกำลังแผ่นดิน” ที่พระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างเอง


คืนนั้น บนพระตำหนักเปี่ยมสุขในวังไกลกังวล จำได้ว่า พระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงมาพร้อมด้วยกล่องใส่พระเครื่องในพระหัตถ์ ขณะที่ทรงวางพระลงบนฝ่ามือที่ผมแบรับอยู่นั้น ผมมีความรู้สึกว่าองค์พระร้อนเหมือนเพิ่งออกจากเตา

ภายหลังเมื่อมีโอกาสกราบบังคมทูลถาม จึงทราบว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระเครื่องด้วยการนำวัตถุมงคลหลายชนิดผสมกัน เช่น ดินจากปูชนียสถานต่างๆ ทั่วประเทศ ดอกไม้ที่ประชาชนทูลเกล้าฯ ถวายในโอกาสต่างๆ และเส้นพระเจ้า (คือเส้นผม ของพระองค์เอง เมื่อผสมกันโดยใช้กาวลาเท็กซ์เป็นเครื่องยึดแล้ว จึงทรงกดพระแต่ละองค์ลงในพิมพ์ โดยไม่ได้เอาเข้าเตาหรือใช้ความร้อนชนิดใดๆ)
หลังจากที่เรา (นายตำรวจรวมแปดนายและนายทหารเรือหนึ่งนาย) รับพระราชทานพระแล้ว ทรงพระกรุณาพระราชทานพระบรมราโชวาทมีความว่า พระที่พระราชทานนั้น ก่อนจะเอาไปบูชา ให้ปิดทองเสียก่อน แต่ให้ปิดเฉพาะข้างหลังพระเท่านั้น

พระราชทานพระบรมราชาธิบายด้วยว่า ที่ให้ปิดทองหลังพระก็เพื่อจะได้เตือนตัวเองว่า การทำความดีไม่จำเป็นต้องอวดใคร หรือประกาศให้ใครรู้ ให้ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ และถือว่าความสำเร็จในการทำหน้าที่เป็นบำเหน็จรางวัลที่สมบูรณ์แล้ว

... หลังจากที่ไปเร่ร่อนปฏิบัติหน้าที่อยู่ไกลห่างพระยุคลบาทเป็นเวลาประมาณหนึ่งปี ผมได้มีโอกาสกลับไปเฝ้าฯ ที่วังไกลกังวลอีก ความรู้สึกเมื่อได้เฝ้าฯ นอกจากความปีติยินดีที่ได้ใกล้พระยุคลบาทอีกครั้งหนึ่งแล้ว ก็มีความน้อยใจที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจ ลำบาก และเผชิญอันตรายนานาชนิด บางครั้งแทบเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ปรากฏว่ากรมตำรวจมิได้ตอบแทนด้วยบำเหน็จใดๆ ทั้งสิ้น

ก่อนเสด็จขึ้นคืนนั้น ผมจึงก้มลงกราบบนโต๊ะเสวย แล้วกราบบังคมทูลว่า ใคร่ขอพระราชทานอะไรสักอย่างหนึ่ง

พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามว่า

“จะเอาอะไร?”

และผมก็กราบบังคมทูลอย่างกล้าหาญชาญชัยว่า จะขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตปิดทองบนหน้าพระที่ได้รับพระราชทานไป พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามเหตุผลที่ผมขอปิดทองหน้าพระ

ผมกราบบังคมทูลอย่างตรงไปตรงมาว่า พระสมเด็จจิตรลดาหรือพระกำลังแผ่นดินนั้น นับตั้งแต่ได้รับพระราชทานไปห้อยคอแล้ว ต้องทำงานหนักและเหนื่อยเป็นที่สุด เกือบได้รับอันตรายร้ายแรงก็หลายครั้ง มิหนำซ้ำกรมตำรวจยังไม่ให้เงินเดือนขึ้นแม้แต่บาทเดียวอีกด้วย

 พระเจ้าอยู่หัวทรงแย้มพระสรวล (ยิ้ม) ก่อนที่จะมีพระราชดำรัสตอบด้วยพระสุรเสียงที่ส่อพระเมตตาและพระกรุณาว่า ปิดทองข้างหลังพระไปเรื่อยๆ แล้วทองจะล้นออกมาที่หน้าพระเอง...”

หมายเหตุ: พระสมเด็จจิตรลดา เป็นพระเครื่องที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ทั้งพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็กประมาณ ไม่เกิน ๓,๐๐๐องค์ พระราชทานแก่ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และพลเรือน ตั้งแต่ใน พ.ศ.๒๕๐๘ จนสิ้นสุดใน พ.ศ.๒๕๑๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานด้วยพระหัตถ์พระองค์เอง มีเอกสารส่วนพระองค์ (ใบกำกับพระ) ซึ่งแสดงชื่อ นามสกุล วันที่รับพระราชทาน หมายเลขกำกับทุกองค์ โดยทรงมีพระราชดำรัสแก่ผู้รับพระราชทานว่า "ให้ปิดทองที่หลังองค์พระปฏิมาแล้วเอาไว้บูชาตลอดไป ให้ทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ"

ขอบคุณ tnews
HASTAG # : วิสิษฐ เดชกุญชร   ในหลวง   ร.9

เทคนิคการวิ่ง และคำสอนปิดทองหลังพระของในหลวง ร.9 เล่าโดย พล ต อ วศิษฐ์ เดชกุญชร: มติชน วีกเอ็นด์ 23 ต.ค.59

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ Wikipedia

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

สงบ จากหลวงพ่อพุธ
ฟังธรรมะ ฟังจากหัวใจตัวเองนั่นดีที่สุด อย่าไปเที่ยวหาฟังจากคนอื่น

ราคาพิเศษ 80 บาท จากราคาเดิม 120 บาท
สั่งซื้อได้เลยที่นี้!!!

No comments: