"มรรคเป็นเพียงธรรมะหนึ่งเดียว ที่ทำให้บรรลุธรรม" ธรรมะจากพุทธองค์ ที่เผยแพร่และขยายความให้แจ่มแจ้งโดย พระปลัดชัชวาล ชินสโภ (ชินสภเถระ)
"แม้ผู้เป็นครูสอนเราก็อย่าเพิ่งเชื่อ แม้จะมีคนเล่าลือ ฮือฮาว่าเป็นพระที่มีชื่อเสียงโด่งดังก็อย่าเพิ่งเชื่อ ขอให้เราใคร่ครวญดูด้วยปัญญาของตนเองว่า พระพุทธเจ้าหมายถึงอะไร พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร และเราจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร"
เราเคยตั้งคำถามกับตัวเองเช่นนี้บ้างไหม อาจอึ้งไปเหมือนกัน กับคำถามที่เราเองอาจตอบไม่ได้ แม้จะเรียกตัวเราว่าเป็น พุทธศาสนิกชนก็ตามที
พระปลัดชัชวาล ชินสโภ (ชินสภเถระ) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมจักร ประธานคณะกรรมการบริหารศูนย์กลางการศึกษาวิปัสสนาธุระพุทธวิหาร ต.ดงละคร จ.นครนายก ตั้งคำถามเหล่านี้ให้เรากลับมาอยู่กับปัจุบันขณะ แล้วค่อยๆ พิจารณาถึงคำตอบที่เรามีอยู่ในใจ อาจลังเล อาจตอบไม่ถูก ฯลฯ นั่นไม่ใช่ปัญหา แต่อาจเป็นคำถามต่อตัวเราเองว่า ที่ผ่านมา เราปฏิบัติตามแนวทางที่พระพุทธองค์ได้วางไว้เพื่อการพ้นทุกข์ถูกต้องหรือเปล่า แล้วได้ผลตามที่พระพุทธเจ้าได้วางไว้หรือไม่ ซึ่งจะส่งผลตอนที่เราจะจากไปในวาระสุดท้ายแห่งชีวิตนั่นเอง เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
เรามีคำถาม และท่านมีคำอธิบายให้ตระหนักถึงความหมายแห่งพระพุทธองค์อย่างมีนัยสำคัญ กับการก้าวเดินไปบนหนทางเดียวกับที่พระองค์ที่ถูกตรงเพื่อไปสู่ความพ้นทุกข์ อย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน
- แล้วอะไรคือหนทางแห่งการพ้นทุกข์ตามแนวทางพระพุทธเจ้า ?
ในสังยุตตนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานาปานสติ เมื่อทำให้เกิดแล้ว ทำให้มากแล้ว ก็คือทำโพชฌงค์ 7 ให้บริบูรณ์ โพชฌงค์ 7 เมื่อทำให้เกิดแล้ว ชื่อว่า ทำสติปัฏฐานสี่ให้เกิด สติปัฏฐานสี่ ทำให้เกิดแล้วทำให้มากแล้ว ชื่อว่าทำให้หลุดพ้น ...อานาปานสติใด ทำให้มรรค 8 เกิดขึ้นไม่ได้ อานาปานสตินั้น ไม่เรียกว่า อานาปานสติ ไม่เรียกว่า วิปัสสนากรรมฐาน ไม่ใช่วิธีการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ปัญหาอยู่ที่ว่าเราทำมรรค 8 เกิดขึ้นได้ไหม ไม่ใช่ว่า ท่องชื่อมรรค 8 กันมา แล้วมาจินตนาการเอา เราเรียนวิชาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เคยถามไหมว่า พระพุทธเจ้าหมายถึงอะไร
ส่วนใหญ่เราจะเอาคำพูดของพระพุทธเจ้ามาตั้งนิดเดียว นอกนั้น ใครเป็นคนอธิบาย พวกเราอธิบายกันเองไม่ใช่หรือ เวลาที่เราอธิบาย เป็นปัญญาของเราหรือปัญญาของพระพุทธเจ้า ถ้าเราตรัสรู้ได้ก็เป็นพระพุทธเจ้าสิ
เมื่อ 2600 กว่าปีก่อน ครั้งนั้น พระพุทธเจ้ายืนยันกับสุภัททะปริพาชก ก่อนปรินิพพานว่า ดูก่อน สุภัททะ คำสั่งสอนใดไม่สามารถทำให้มรรค 8 เกิดขึ้นได้ ผลของการตรัสรู้ ไม่เรียกว่าเป็นสมณธรรมทั้งสี่ คือ โสดาปัตติมรรค สกทาคามีมรรค อนาคามีมรรค และ อรหัตตมรรค เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าคำสั่งสอนใด สามารถทำให้มรรค 8 เกิดขึ้นได้ สมณธรรมทั้งสี่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ เราได้ออกจากเมืองเมื่ออายุ 29 ปี เพื่อหาวิชาความรู้ว่าอะไรที่ถูกต้องในการดับทุกข์ เมื่อได้แล้วก็ไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ตลอดระยะเวลา 51 ปีมานี้ บนพื้นที่แห่งธรรมอันเป็นเครื่องนำสัตว์ออกไปจากกองทุกข์ได้ ไม่เห็นมีพื้นที่ใดออกนอกมรรคเลย
ส่วนคำสั่งสอนใดที่ทำให้มรรค 8 เกิดขึ้นได้ บ่งบอกว่า ครูท่านนั้นสามารถทำให้เราเข้าสู่สมณธรรมขั้นที่หนึ่ง สอง สาม และสี่ได้ เท่ากับว่า ครูนั้นอาจเป็นโสดาบันก็ได้ สกทาคามีก็ได้ อนาคามีก็ได้ หรืออรหันต์ก็ได้ หรือเป็นผู้ที่ทำให้มรรค 8 เกิดขึ้น แต่ยังไม่ถึงสมณธรรม ก็ได้ แต่อย่างน้อยท่านก็ทำให้เราก็รู้แนวทาง แล้วพระองค์ก็บอกว่า มรรค 8 มีในคำสั่งสอนของพระองค์เท่านั้น พระองค์จึงกล้าประกาศว่า ตลอด 51 ปีที่พระองค์สั่งสอน ไม่มีธรรมใดที่ออกจากพื้นที่ของมรรค 8 แล้ว จะทำให้ตรัสรู้ได้ ไม่เคยเห็นมี พระองค์จึงประกาศว่า พระองค์ตรัสรู้เองได้
- มรรค 8 มีความสำคัญอย่างไร
พระอานนท์ล็อกไว้เลยว่า ถ้าไม่รู้ แสดงว่า คนนี้ขี้โกง และมรรค 8 เป็นวิธีเดียวเท่านั้น ที่ทำให้ดับไฟทุกข์ในสังสารวัฏได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงไว้ในทีฆนิกายมหาสติปัฏฐาน ว่า “ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย มรรคนี้เป็นหนทางเดียว เพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อข้ามพ้นความโศกและปริเทวนาการ เพื่อการดับไฟทุกข์และโทมนัส เพื่อการบรรลุธรรมอย่างถูกต้อง เพื่อการทำนิพพานให้ปรากฎแจ้งชัด ดังนั้น ไม่ว่าบุคคลใด จะเป็นมนุษย์ก็ตาม จะเป็นเทวดาก็ตามหรือพระเจ้า เทพเจ้าใดๆ ก็ตาม ถ้าหากประกาศตนว่าเป็นผู้ถึงความบริสุทธิ์ บุคคลนั้นจะต้องรู้วิธีการทำให้มรรคเกิด ถ้าไม่รู้จักวิธีการทำให้มรรคเกิด แสดงว่ายังมีปัญหากับความบริสุทธิ์นั้น เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์ไว้ว่า “มรรคเป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่สามารถทำให้ถึงความบริสุทธิ์ได้"
ดังนั้น ถ้ามรรคไม่เกิดความบริสุทธิ์ย่อมถึงไม่ได้ มรรคสามารถทำให้ผู้ที่ทำให้มรรคเกิด สามารถข้ามพ้นความโศกและปริเทวนาการได้ บุคคลใดที่บอกว่าสามารถที่จะพ้นความโศกได้แล้ว บุคคลนั้นจะต้องรู้วิธีการทำให้มรรคเกิด สามารถแสดงวิธีการทำให้มรรคเกิดได้ ถ้าหากว่าไม่รู้วิธีการทำให้มรรคเกิด ก็แสดงว่าการข้ามพ้นความโศก และ ปริเทวนาการนั้น ยังไม่สามารถที่จะพ้นได้ มรรค..เมื่อทำให้เกิดแล้ว สามารถดับไฟทุกข์และโทมนัสได้ เมื่อเราทำให้มรรคเกิดได้เราก็สามารถดับไฟทุกข์และโทมนัสได้ ถ้าหากเรายังไม่รู้วิธีการทำให้มรรคเกิด จะดับไฟทุกข์และโทมนัสได้นั้น คงจะไม่ตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรงเทศน์ไว้นัก
-มรรคเป็นเพียงธรรมะหนึ่งเดียว ที่สามารถทำให้บรรลุธรรม?
มรรค เป็นวิธีเดียวที่ทำให้สัตว์ทั้งหลายถึงความบริสุทธิ์ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นโสดาบัน ไปจนถึงพระอรหันต์ ท่านต้องทำให้มรรคเกิดได้ ต้องรู้ ต้องสามารถแสดงได้ เพราะมรรคเป็นวิธีเดียวที่ทำให้สัตว์ทั้งหลายข้ามพ้นความโศก และปริเทวนาการ ดังที่่ได้กล่าวไปแล้ว มรรค เปรียบเหมือนแว่นไว้ส่องดูพระอริยะ และมรรคก็เป็นเหมือนแว่นที่เราจะส่องดูครู ไว้เลือกครู อีกทั้งมรรค เมื่อปฏิบัติแล้วก็ให้เป็นอานิสงส์ที่คนปฏิบัติธรรมต้องการทั้งนั้น
-เพราะคนเราส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอย่างประมาท โดยลืมไปว่า วันหนึ่งจะต้องตาย จะทำอย่างไรให้การเจริญมรรคถูกตรง และส่งผลให้ไปสู่สัมปรายภพที่ดีได้
คนก่อนตายจะรู้ตัวก่อน ทุกคนเลย แม้แต่อุบัติเหตุเกิดปั๊ป ก็จะรู้ว่าจะตาย และจะไปไหน มันจะมีอยู่ 30 วิถีจิต ก่อนที่มรณกรรมจะเกิดขึ้น หมายความว่า ในช่วงนั้น ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วๆ ไป เขาก็จะแสวงหาภพ บางคนที่ดูเหมือนตาย แต่กลับฟื้น เพราะวิถีจิตเขาไม่ได้ เขาก็เลยฟื้นมาเล่าอะไรให้ฟัง แต่บางคนวิถีจิตเขาได้ ตอนเป็นสัมภเวสี แสวงหาภพได้ เขาก็ไปเลย
เหมือนหนอนคืบ ถ้าหาที่ลงไม่ได้ เขาจะไม่ไป ทีนี้ คนที่จะตายจริงๆ วิถีจิตของเขา คิดว่าร่างกายส่วนที่ใช้สอย มันใช้ประโยชน์ไม่ได้แล้ว และขณะนั้น เขาก็ไม่สามารถโต้ตอบกับคนภายนอก แต่เขารับรู้คนภายนอก อาตมาเคยทดสอบด้วยตัวเอง มีโยมคนหนึ่งป่วย เส้นเลือดที่ต่อมใต้สมองแตก หมอบอก ไม่รู้ตัว ไม่รับสนอง เอาไฟส่องตา ก็เบิกเฉยๆ
แต่ในคัมภีร์บอกว่า เขารู้ แต่เราต่างหากที่ไม่รู้ว่าเขารู้ เพราะอะไร เพราะเขารับรู้จากเราได้ แต่เขาตอบไม่ได้ ถ้าพูดตามภาษาเราคือ ใช้ร่างนี้ไม่ได้ แต่ว่า มันยังเหลือส่วนสุดท้ายที่เหลืออยู่ คือจิต เหมือนเราไม่มีแรงเลย แม้แต่จะอ้าปากก็ไม่มีแรง แต่เรารู้อยู่ว่าอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้น เรารับรู้ทุกอย่าง เห็นก็เห็น ได้ยินก็ได้ยิน แต่ตอนนั้น เราไม่สามารถใช้ร่างกาย คนทุกคนก็อาจรู้และสงสัยว่าเรากำลังจะตาย
-การตายคือการเตรียมเกิด ?
ถ้าเป็นธรรมชาติของคนที่เตรียมจะไปเกิดจริงๆ จิตขณะนั้นของเขาจะเหนี่ยวนำดูว่า เขาจะได้อะไรเป็นที่พึ่ง ถ้าเห็นว่า ตัวเองได้สร้างบุญสร้างกุศลไว้ เขาก็จะปีติ พอปีติ เขาก็ไปเกิดในสุคติภพ เป็นเทวดาบ้าง แต่ถ้าหากว่า ในขณะนั้น เขาเหนี่ยวนำแล้วไม่เห็นว่าทำบุญอะไร บาปก็ไม่ได้ทำ แต่การเป็นมนุษย์อยู่นี้ก็มาภพดี เพราะในดำรงขณะที่เป็นมนุษย์ก็เป็นบุญ แต่เหมือนคนมีเงิน ใช้ไปทุกวันไม่หาเข้ามา เมื่อสตางค์หมด ถึงตอนนั้นต้องไป เขาก็ไม่อยากจะไป กลัวต่อการที่จะต้องพลัดพราก เพราะฉะนั้น วิถีจิตของเขาก็ไปอบายภูมิ
เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปพูดถึงคนที่ทำความชั่ว มันย่อมชัดเจนอยู่แล้ว แม้จิตเหนี่ยวนำไปทางกุศลแต่ก็ไม่เห็น เห็นแต่ส่วนที่เป็นความชั่วมีกำลังมาก พอเห็นความชั่วก็จะกลัว ระลึกถึงตอนทำความชั่ว ไม่กลัวขณะทำ สะใจ ดีใจ พอใจ สมใจที่ทำ แต่พอเวลาจะได้รับผลกรรม เขาก็จะกลัว เหมือนคนที่ทำความผิดแล้วไปเจอตำรวจ ก็จะกลัว ลนลาน แม้ไม่ได้ผิดอะไรมากมาย แค่เล่นการพนันก็วิ่งหัวซุกหัวซุนแล้ว ก็จะไปทุคติภูมิ หรือคนที่ทำดีมาสม่ำเสมอ ก่อนตายเขาจิตเหนี่ยวนำกุศลที่ทำไว้ขึ้นมา จิตก็ปีติ ก็ไปสุคติภูมิ นี่คือสภาวะจิตของคนทั่วๆ ไปที่ยังไม่ได้ภาวนา เขาเรียกว่า 'กรรมนิมิต '
ยังมีนิมิตอีกอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่าเราจะตาย คือ ขณะที่เราภาวนาไว้ พุทโธก็ดี ยุบหนอ พองหนอก็ดี คำสวดมนต์ก็ดี ขณะที่ภาวนาบริกรรม หรือสวดมนต์ จิตก็จะว่าง สะอาดอยู่ แต่บางอย่างไม่ได้ว่าง 100% อย่างเช่น เราสวดมนต์ ปากสวดอยู่กรุงเทพฯ แต่ใจไปอยู่เชียงใหม่ เพราะฉะนั้น โอกาส 100% ที่จะไปดีก็อาจจะไม่มี
กรรมนิมิตอีกอย่างก็ปรากฎให้เห็นเป็นรูปร่างได้ เช่นว่า ตัวเองเป็นคนทำบุญกุศล มีคนมาช่วยเยอะแยะ มีพระมาเยอะแยะ เห็นตัวเองทำบุญก็ปีติ ก็ไปเกิดในภพที่ดี นี่ไปด้วยทานกุศล หรือศีลกุศล หรืออะไรต่างๆ ที่เราทำ ไม่เกี่ยวกับการภาวนา หรือบางคนก็เห็นบาปกรรมที่ตัวเองทำ อาจจะไปสร้างเวรสร้างกรรมอะไรไว้ ก็จะกลัวผลกรรม นี่ก็จะไปเกิดในส่วนที่เป็นอกุศล ตามวิถีจิต
นิมิตอีกอย่างคือ 'คตินิมิต ' ผู้จะตายจะเห็นภพที่จะไป บางคนอาจเห็นทรัพย์ศฤงคารอะไรต่างๆ ที่ตัวเองทำไว้ก็จะปีติ บางคนอาจเห็นเทวดา เห็นสวรรค์ เห็นวิมาน เห็นคนเอาราชรถมารับ พวกนี้ก็ปีติเหมือนกัน แล้วก็จะไปเกิดในภพที่เขาเห็นนั่นแหละ บางคนเห็นเปรต เห็นอสูรกาย เห็นสัต์เดรัจฉาน มาทวงเอาชีวิต หรือเห็นเขาลงโทษทัณฑ์ เห็นกระทะทองแดง คตินิมิตนี้คือ เห็นภพไหนก็จะไปเกิดภพนั้น พวกนี้จะกลัว บางคนอาจจะเห็นครรภ์มารดา เห็นห้องหับ เห็นเตียง เห็นฟูก เห็นที่หลับที่นอน เห็นม่าน พวกคนเหล่านี้จะไปเกิดเป็นมนุษย์ แต่จะต่างจากคนที่เห็นทรัพย์ศฤงคารของเขา นี่หมายถึงคนทั่วๆ ไป
- สำหรับคนที่ทำกรรมฐาน เจริญมรรคอย่างถูกตรง เวลาตายไปอย่างไร ?
ในวิชาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คือ อานาปานสติที่ถูกตรงวิธีของพระพุทธเจ้า สามารถทำโพชฌงค์ 7 ให้บริบูรณ์ ก็ได้ชื่อว่า ทำให้สติปัฏฐานให้บริบูรณ์ได้ นั่นจึงจะพ้นทุกข์ภัยหลังความตายไปได้ ถ้าเราปฏิบัติผิดทางก็ไม่สามารถปิดอภายภูมิได้เช่นกัน ดังตอนที่พระพุทธเจ้ากล่าวกับสุภัททปริพาชก ขณะที่พระองค์ใกล้จะปรินิพพานว่า ดูก่อนสุภัททะ คำสั่งสอนใด ไม่สามารถทำให้มรรค 8 องค์เกิดขึ้นได้ คำสั่งสอนนั้นไม่สามารถนำไปสู่การพ้นทุกข์ได้
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Kenko พลูคาว คาวตอง ช่วยเรื่องเบาหวาน มะเร็ง 750 มิลิลิตร
ราคา 1350 บาท สั่งซื้อได้เลยที่นี้!!!
สรรพคุณ
- รักษาโรคมะเร็ง ทำลายเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะเกี่ยวกับมะเร็งปอด มะเร็งต่อมไทรอยด์ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเม็ดเลือดขาว
- เนื้องอกในสมอง
- ริดสีดวงทวาร โดยไม่ต้องผ่าตัด
- โรคกาม หนองใน โรคเป็นแผลเปื่อยพุพอง ทำให้น้ำเหลืองแห้ง
- โรคผิวหนัง แก้พิษแมลงป่อง พอกฝี
- ทางเดินปัสสาวะอักเสบ
- เพิ่มการแบ่งตัวของเซลล์เม็ดเลือดขาว รักษาอาการอักเสบต่าง ๆ เช่น ฝีอักเสบ ปอดอักเสบ หลอดลมอักเสบ ตาอักเสบ ตับอักเสบ ไตอักเสบ
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดจากเชื้อรา หูชั้นกลางอักเสบ
- บำบัดฟื้นฟู โรคความดันโลหิตสูง (Artrosclerosis)
- เพิ่มภูมิคุ้มกันหรือภูมิต้านทานโรค ยับยั้งเนื้องอก กระตุ้นเซลล์น้ำเหลือง ยับยั้งเบาหวาน
- รักษาความสมดุลของร่างกายและอื่นๆ
- ป้องกันไข้ทรพิษ หัด หัดเยอรมัน การติดเชื้อทางเดินหายใจ HIV เริม งูสวัด
- ฤทธิ์เกี่ยวกับการต้านเชื้อราและแบคทีเรีย เยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดจากเชื้อรา Cryptocoecus
- โรคทางเดินอาหาร
- โรคปริทันต์ โรคติดเชื้อในปาก
-โรคกลากเกลื้อน
- ฤทธิ์ระงับปวด เร่งการเจริญเติบโตของเซลล์ ห้ามเลือด รักษาปริมาณของเหลวในร่างกาย
- ฤทธิ์ขับปัสสาวะ พบสารฟลาโวนอยด์ ที่แยกได้จากใบพลูคาวเป็นสารสำคัญในการออกฤทธิ์
- ฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ น้ำมันหอมระเหยจากการกลั่นส่วนเหนือดินของพลูคาว พบว่ามีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียอย่างแรงต่อเชื้อ Bacillus cereus และ B. Subtilis เชื้ออหิวาต์ Vibrio cholerae 0-1 และ V. Parahaemolyticus
- ฤทธิ์ต้านไวรัส น้ำมันหอมระเหยจากพลูคาวสามารถยับยั้งการเจริญของไวรัสที่เป็นสาเหตุของไข้หวัดใหญ่ และไวรัสที่เป็น
สาเหตุของโรคเอดส์ (HIV)
ปริมาณ 750ml- รักษาโรคมะเร็ง ทำลายเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะเกี่ยวกับมะเร็งปอด มะเร็งต่อมไทรอยด์ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเม็ดเลือดขาว
- เนื้องอกในสมอง
- ริดสีดวงทวาร โดยไม่ต้องผ่าตัด
- โรคกาม หนองใน โรคเป็นแผลเปื่อยพุพอง ทำให้น้ำเหลืองแห้ง
- โรคผิวหนัง แก้พิษแมลงป่อง พอกฝี
- ทางเดินปัสสาวะอักเสบ
- เพิ่มการแบ่งตัวของเซลล์เม็ดเลือดขาว รักษาอาการอักเสบต่าง ๆ เช่น ฝีอักเสบ ปอดอักเสบ หลอดลมอักเสบ ตาอักเสบ ตับอักเสบ ไตอักเสบ
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดจากเชื้อรา หูชั้นกลางอักเสบ
- บำบัดฟื้นฟู โรคความดันโลหิตสูง (Artrosclerosis)
- เพิ่มภูมิคุ้มกันหรือภูมิต้านทานโรค ยับยั้งเนื้องอก กระตุ้นเซลล์น้ำเหลือง ยับยั้งเบาหวาน
- รักษาความสมดุลของร่างกายและอื่นๆ
- ป้องกันไข้ทรพิษ หัด หัดเยอรมัน การติดเชื้อทางเดินหายใจ HIV เริม งูสวัด
- ฤทธิ์เกี่ยวกับการต้านเชื้อราและแบคทีเรีย เยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดจากเชื้อรา Cryptocoecus
- โรคทางเดินอาหาร
- โรคปริทันต์ โรคติดเชื้อในปาก
-โรคกลากเกลื้อน
- ฤทธิ์ระงับปวด เร่งการเจริญเติบโตของเซลล์ ห้ามเลือด รักษาปริมาณของเหลวในร่างกาย
- ฤทธิ์ขับปัสสาวะ พบสารฟลาโวนอยด์ ที่แยกได้จากใบพลูคาวเป็นสารสำคัญในการออกฤทธิ์
- ฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ น้ำมันหอมระเหยจากการกลั่นส่วนเหนือดินของพลูคาว พบว่ามีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียอย่างแรงต่อเชื้อ Bacillus cereus และ B. Subtilis เชื้ออหิวาต์ Vibrio cholerae 0-1 และ V. Parahaemolyticus
- ฤทธิ์ต้านไวรัส น้ำมันหอมระเหยจากพลูคาวสามารถยับยั้งการเจริญของไวรัสที่เป็นสาเหตุของไข้หวัดใหญ่ และไวรัสที่เป็น
สาเหตุของโรคเอดส์ (HIV)
เลขที่ อย./เลขที่จดแจ้ง : 50-2-05159-2-0007
No comments:
Post a Comment